

วันที่ 11 มิถุนายน 2564 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติว่า ประเทศไทยเริ่มให้บริการวัคซีนอย่างกว้างขวางเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ถือว่าการให้บริการเป็นไปด้วยความราบรื่น ตอนที่มีปัญหาขลุกขลัก ก็หาทางแก้ และเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ ก่อนวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเตรียมความพร้อมมานานแล้ว จากการที่ฉีดให้กลุ่มเสี่ยงเกณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่านจุดให้บริการล้วนผ่านการปฏิบัติงานจริงมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งตนและคณะผู้บริหารลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบมาโดยตลอด มา ณ วันนี้ ความต้องการวัคซีนเพิ่มมากขึ้น หน้าที่ของรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ต้องหาวัคซีนมารองรับความต้องการดังกล่าว
“ต้องขอขอบคุณคนไทยที่ให้ความมั่นใจในวัคซีนที่จัดหามา เพราะทุกคนล้วนมีรอยยิ้มเมื่อได้รับวัคซีน แสดงว่ามีความเชื่อมั่น ขอย้ำว่า ประเทศไทยจะเลือกวัคซีนที่มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยมาให้บริการประชาชน อยากเรียนย้ำว่า แท้ที่จริงแล้ว กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดหาวัคซีน และภูมิใจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้”
ส่วนการที่วัคซีนซึ่งทยอยมากระทบกับแผนการจัดการหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า กระทบกับการกระจายลงพื้นที่บ้าง แต่ในอนาคตปัญหานี้จะคลี่คลาย เพราะไทยจะมีวัคซีนให้บริการหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดสรร และในอนาคต หากการหารือกับผู้ผลิต ไม่มีปัญหา เราจะมีทั้งไฟเซอร์ สำหรับให้บริการในเด็ก และจอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน ก็จะเช้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่เราทำสัญญาระยะยาวกับแอสตร้าเซนเนกาไว้แล้ว ส่วนซิโนแวค ไทยตัดสินใจนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าสามารถให้บริการประชาชนได้ตามเป้า ปัจจุบันนี้ รัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข กำลังหาทางนำเข้าวัคซีน เข้ามาเรื่อย ทั้งยังได้ศึกษาผลการวิจัย เพื่อเลือกวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดด้วย
ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องบทบาทของกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดการกระจายวัคซีนในแต่ละพื้นที่ นายอนุทิน ตอบว่า การบริหารจัดการในพื้นที่ต่างๆ เป็นเรื่องของหน่วยงานในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งได้รับมอบอำนาจตามกฎหมายไปแล้ว ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทเป็นฝ่ายสนับสนุน ซึ่งได้ทำสุดแรง สุดกำลัง ตามการมอบหมายของ ศบค.
“ในฐานะรมว.สาธารณสุข ต้องขอขอบคุณคนทำงานทุกท่าน เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล อสม. และทุกๆ ภาคส่วนที่ช่วยกันประคับประคองระบบสาธารณสุขไทย ถึงแม้จะมีการระบาดพบผู้ติดเชื้อมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นเครื่องสะท้อนประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขไทยคือ ผู้ป่วยโควิด -19 ต่างได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง ใครป่วย ต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ นอกจากนั้นยังมีความพร้อมในเรื่องของเวชภัณฑ์ บุคลากร รวมไปถึงแผนการรับมือ และการตั้งโรงพยาบาลสนามที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขอชื่นชม ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันด้วย เพราะทีมแพทย์ พยาบาล คงไม่สามารถเข้าไปเคลียร์พื้นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ขณะที่ การมีอยู่ของ ศบค. ก็ทำให้การจัดการปัญหาในสภาวะวิกฤติ มีประสิทธิภาพมากขึ้น”