หลายรัฐทยอยปลดล็อกดาวน์ดันเปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ เดินหน้าพุ่งต่อ



  • นักลงทุนมองผลกระทบโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจโลกว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่าที่คาดการณ์
  • 3M -ไฟเซอร์ อิงค์ -เป๊ปซี่โค รับอานิสงส์โควิด-19 กำไรไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น
  • สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ยังดิ่งลงกว่า 15% คนไม่เดินทาง

เมื่อเวลา 21.40 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 24,287.06 จุดเพิ่มขึ้น 153.28 จุด หรือ +0.64% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 8,706.94 จุด ลดลง 23.22 จุด หรือ -0.28% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 2,892.38 จุด เพิ่มขึ้น 13.90 จุด หรือ +0.48%

การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐฯ เริ่มขยายวงกว้างขึ้น โดยนอกจา รัฐอลาสกา, จอร์เจีย, เซาธ์ แคโรไลนา, เทนเนสซี และเท็กซัส ก็ได้เริ่มให้ร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการแก่ลูกค้าวานนี้ เริ่มมีอีกหลายรัฐ รวมทั้ง รัฐนิวยอร์กจะเริ่มเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง

ทั้งนี้ นอกเหนือจากสหรัฐ หลายประเทศในเอเชียและยุโรป ก็เริ่มที่จะผ่อนคลาย และกลับมาเปิดให้บริการของธุรกิจมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบโดยรวมต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งทำให้นักลงทุนมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากนั้น ผลประกอบการที่สูงเกินคาดของบริษัท 3M และไฟเซอร์ อิงค์ มีส่วนหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้น ทั้งนี้ บริษัท 3M เปิดเผยกำไรและรายได้ประจำไตรมาสแรกสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้อานิสงส์จากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นทั่วโลกสำหรับหน้ากากอนามัย และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

เช่นเดียวกับ ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก
โดยไฟเซอร์ยังคาดการณ์รายได้ทั้งปีนี้ว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากผลที่บริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนหลายล้านโดสภายในปลายปีนี้

ขณะที่บริษัทเป๊ปซี่โค เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรพุ่งขึ้น 10% ในไตรมาสแรก จากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เนื่องจากต้องใช้เวลาอยู่แต่ในบ้านมากขึ้น ตามมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ดิ่งลงกว่า 15% ในวันนี้ หลุดระดับ 11 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยปรับตัวลงต่อเนื่องจากที่ทรุดตัวลงเกือบ 25% วานนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด

การหยุดเดินทางของคนทั่วโลก ได้ส่งผลให้สายการบินเซาธ์เวสต์ แอร์ไลน์ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาสแรกเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 และคาดการณ์ว่าแนวโน้มการเดินทางทางอากาศจะยังไม่ดีขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้กระทบต่อการเดินทางทั่วโลก

นอกจากนี้ เซาธ์เวสต์ แอร์ไลน์ยังคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานในเดือนหน้าจะลดลงถึง 95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเตือนว่าบริษัทไม่สามารถให้ตัวเลขคาดการณ์ทางการเงินเกินกว่าเดือนพ.ค.นี้