

- “สุพันธ์” ย้ำต้องพักชำระหนี้ 2 ปี
- ชี้ปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวไม่รอด
- เอสเอ็มอีล้านรายเสี่ยงล้มตาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดประชุมแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระหนี้สินและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หลังจะหมดระยะเวลาพักชำระหนี้ในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ร่วมกับกระทรวงการคลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สมาคมตลาดทุนไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอี คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพยาแห่งประเทศไทย รวมทั้งตัวแทนของสถาบันการเงินต่างๆ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมที่ได้สั่งการในศูนย์การบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 (ศบศ.)ให้สศช.ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีการขอพักหนี้ในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 12 ล้านบัญชี ซึ่งจะครบกำหนดระยะเวลาการพักชำระหนี้ในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่ง ธปท.รายงานว่า หลังจากการคลายล็อคให้เศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้มีลูกหนี้ที่กลับมาจ่ายหนี้ทั้งดอกเบี้ย และเงินต้นได้แล้วประมาณ 60% ที่เหลืออีก 40% ยังเป็นกลุ่มที่อาจต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ที่ประชุมจึงให้แบ่งกลุ่มการหารือออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อสรุปมาตรการที่จำเป็นโดยเร็ว เพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ศบศ.และออกเป็นมาตรการให้ชัดเจนก่อนวันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่งตอนนี้ต้องดูทุกข้อเสนอ เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ก็ทำงานหนักพอสมควรในการติดตามลูกหนี้ เพื่อดูว่ารายไหนไปได้ไปไม่ได้ และจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ได้ยืนยันว่ายังมีความจำเป็นต้องมขยายระยะเวลาพักหนี้ออกไปเป็นระยะเวลา 2 ปี แต่ให้จ่ายดอกเบี้ยบางส่วนเช่นประมาณ 10% เพราะธุรกิจเอสเอ็มอีบางส่วนยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างมาก หากไปใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวตามแนวทางของ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โดยไม่มีการต่ออายุการพักชำระหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ประมาณ 1 ล้านรายอาจต้องปิดกิจการและส่งผลให้มีการปลดคนงานออกอีกจำนวนมาก
“ที่ประชุมหารือกันให้แยกภาคธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม โดย กลุ่มสีเขียว เป็นธุรกิจที่สามารถกลับมาจ่ายหนี้ได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ถือเป็นกลุ่มก็ต้องให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การลดดอกเบี้ยให้บางส่วน อาทิ 1% จากที่ต้องจ่ายปกติเพื่อเป็นการจูงใจและช่วยเหลือธุรกิจกลุ่มนี้ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น สำหรับกลุ่มที่สอง เป็นผู้ประกอบการที่เป็นสีเหลือง จะไปไม่ไหว ก็ให้พักชำระหนี้ แต่จ่ายดอกเบี้ยบ้าง และกลุ่มที่สามสีแดง คือกลุ่มที่ไปต่อไม่ได้ มีปัญหา ก็เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ไป”
นายสุพันธ์ กล่าวว่า หากไปเลืกใช้วิธีทุกคนต้องเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งหมด จะทำให้พวกสีเหลืองจะตกไปอยู่สีแดง และในที่สุดก็ต้องปิดกิจการ โดยเฉพาะที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มที่อยู่ในภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวในช่วงนี้แต่ในอีก 2 ปีฟื้นได้แน่ๆ
นอกจากนั้น การแก้ปัญหาให้ภาคธุรกิจต้องเสริมด้วยการปล่อยกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟทีโลน)เพิ่มเติม จากวงเงินที่ธปท.ดูแลอยู่และเหลืออยู่ 300,000 ล้านบาท โดย สอท.เสนอให้บรรษัทค้ำประกันสินเชื่อ (บสย.) ค้ำประกันการกู้เงินเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 50% ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินยอมปล่อยกู้ให้
นอกจากนี้ภาคเอกชนได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจขนาดกองทุนประมาณ 100,000-200,000 ล้านบาท โดยใช้กลไกจากตลาดทุนในการระดมทุนหรือออกพันธบัตรระดมทุนจากประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันโดยกองทุนลักษณะนี้สามารถนำเงินทุนที่ระดมได้มาทำมาตรการช่วยเหลือประชาชนหรือธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มเติม