

- ดันตลาดโต 12.7% ต่อปีคาดปี 67 เฉียด 2 แสนล้านบาท
- พาณิชย์แนะผู้ส่งออกไทยส่งสินค้าไฮเอนด์ทำตลาด
- ชี้ผลิตภัณฑ์ยอดฮิตต้องมีส่วนผสมของกรดผลไม้ วิตามินซี
นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนางสาวเนตรนภิศ จุลกนิษฐ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู ประเทศจีน ถึงโอกาสทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวว่า ปัจจุบัน ชาวจีนมีความต้องการดูแลผิวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทลดฝ้า กระ และไวเทนนิ่ง และจากรายงานแนวโน้มตลาดไวเทนนิ่ง โดย iResearch ระบุว่า ปี 64 มูลค่าตลาดเอสเซนส์ไวเทนนิ่งของจีนสูงถึง 137,500 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าปี 65-67 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง 12.7% ต่อปี และจะมีมูลค่าเกินกว่า 168,800 ล้านบาท ภายในปี 67

สำหรับผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่มี “ไม่ระคายเคือง และมีประสิทธิภาพดี” เป็นที่ต้องการมาก โดยส่วนผสมไวทเทนนิ่งที่ได้รับความนิยม เช่น กรดผลไม้/กรดซาลิไซลิก วิตามินซี และไนอะซินาไมด์ ขณะที่แบรนด์ต่างชาติที่ได้รับความนิยมสูง เช่น Clinique, Elizabeth Arden, Kiehl’s จากสหรัฐฯ Dr.Ci:Labo, SK-II จากญี่ปุ่น และ CLARINS จากฝรั่งเศส ส่วนผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งของไทยในตลาดจีน เช่น สเปรย์ฉีดกันแดดไวเทนนิ่ง Mistine ครีมไข่มุก Promina ครีมบำรุงผิวร่างกาย Nakiz เป็นต้น

“ตลาดไวเทนนิ่งจีน มีกลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่กลุ่มคน GEN Z คนทำงานในเมือง และผู้บริโภคชาย 25 – 34 ปี ทำให้กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น และอาจกลายเป็นตลาด Blue Ocean ใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว นอกจากผลิตภัณฑ์บนใบหน้าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับไวเทนนิ่งตามร่างกาย เช่น ผิวกาย มือ ฟัน เป็นต้น ทำให้มีการพัฒนาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ ยังมีจำนวนน้อย เป็นโอกาสที่แบรนด์ต่างๆ ของไทย จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในอนาคต”