

- เดือนต.ค.ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น
- หลังรัฐมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
- น้ำมันราคาลด-ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่วนในช่วงสิ้นปีนี้เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เป็นต้น รวมถึงการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว จะช่วยพยุงให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ขยายตัวติดลบน้อยลงกว่าที่สศค.คาดการณ์ไว้ที่ 7.7%
สำหรับในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ณ ระดับราคาคงที่ติดลบ 9.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ชะลอตัว ขณะที่การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลง 25.9% และ 11.0% ตามลำดับ
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.9 โดยมีปัจจัยบวก ได้แก่ 1.ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง 2.รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงการออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยเฉพาะโครงการเราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน เป็นต้น และ 3.ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้มากขึ้น โดยรายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนต.ค.ขยายตัวถึง 12.6%
“เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าสะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯชะลอตัว 6.7% จากการลดลงของการส่งออกสินค้าในหมวดสำคัญ อาทิ น้ำมัน รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น”
ส่วนสินค้าที่ยังขยายตัวได้ดีในการส่งออก ได้แก่ 1.สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม และอาหารสัตว์เลี้ยงผัก ผลไม้สด แช่แข็งกระป๋องและแปรรูปที่ขยายตัวต่อเนื่อง 2.สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น และ 3.สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาดโควิด-19 เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น
“เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ติดลบ 0.5 % และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.2 % ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.ย.2563 อยู่ที่ 49.4% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)วินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่ตั้งไว้ไม่ให้เกิน 60% ของจีดีพี ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้”