

“สรรพสามิต” ตั้งเป้าจัดทำ ‘ภาษีคาร์บอน’ ให้เสร็จภายใน 3 ปี ชี้กลไกภาษีคาร์บอนจะช่วยลดภาระการส่งออกผู้ประกอบการ
- ชี้โจทย์ใหญ่ที่ต้องทำผู้ประกอบการจ่ายภาษีในประเทศแล้ว ต้องใช้ในต่างประเทศได้เลย
- เผยสรรพสามิตอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดว่าทำได้เลยหรือไม่ จะผูกโยงการคำนวณภาษีอย่างไร
- พร้อมต่ออายุมาตรการลดภาษีอากรขาเข้าให้เงินอุดหนุนรถ EV ถึงปี 2568
วันนี้ (21 ก.ย.66) นางสาวรัชฎา วานิชกร ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กล่าวในงานสัมมนาSharing Session Sustainability Dialogue: Mission to Carbon Neutral จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติ และแรงกดดันทางการค้าการลงทุนที่ทั่วโลกได้ตั้งกฎเกณฑ์โดยคำนึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น เพื่อให้การค้าการลงทุนของไทยขับเคลื่อนไปได้ หากมองกลับมาเรื่องภาษีก็เป็นกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนการค้าการลงทุนควบคู่กันไปได้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายว่าจะก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี ค.ศ.2050 และมีเป้าหมายต่อไปในการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ.2065 โดยเป้าหมายดังกล่าวทำให้กรมสรรพสามิตเล็งเห็นว่า การขับเคลื่อนภาษีด้านสิ่งแวดล้อมน่าจะมีบทบาทสำคัญ โดยกรมฯ ได้มีการประกาศยุทธศาสตร์ และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า จะเป็นกรมฯ ESG ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยภาษีสรรพสามิตเพื่อมุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
นางสาวรัชฎา กล่าวต่อว่า สำหรับกลไกภาษีคาร์บอนจะช่วยลดภาระการส่งออกของผู้ประกอบการ ขณะนี้โจทย์ระยะสั้นที่ต้องดำเนินการ คือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) หรือกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาที่จะออกมา กรมฯ จึงมีโจทย์ที่อยากตอบได้ทั้งคู่ว่าหากกำหนดภาษีคาร์บอนจะไม่สร้างภาระ และอยากให้ใช้ประโยชน์ได้ หากผู้ประกอบการชำระภาษีในประเทศแล้ว จะต้องนำไปใช้ในต่างประเทศได้
ทั้งนี้ ทางกรมฯได้หารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO และหน่วยงานที่เกี่ยวของถึงการร่างกฎหมายแล้ว ซึ่งต้องการทำให้สอดคล้องกับการดำเนินการของ CBAM โดย CBAM ให้เวลาอีก 3 ปี ที่จะดำเนินการเก็บภาษีจริง หากกลไกภาษีคาร์บอนช่วยได้ กรมฯ ต้องทำภาษีคาร์บอนให้เสร็จภายใน 3 ปี
“ปัจจุบันกฎหมายของกรมสรรพสามิตเก็บภาษีได้ที่สินค้าเลย แต่หากมองกระบวนการที่ทางยุโรปกำหนด เขาดูตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ และการขนส่ง การใช้ การทำลายของเสียจะเป็นลำดับถัดไป ดังนั้นโจทย์ที่จะมาดูจะเน้นที่กระบวนการ ช่วงที่จัดการวัตถุดิบว่าปล่อยคาร์บอนเท่าใด ส่วนนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของกรมฯ ว่าหากจะดึงมาใช้ในการคำนวณการปล่อยคาร์บอน และนำไปเก็บภาษีนั้น กฎหมายภาษีสรรพสามิตยังทำได้หรือไม่ หากยังทำไม่ได้ กฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมจะทำให้เราทำได้หรือไม่”
นางสาวรัชฎา กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดอยู่ว่าหากกรมฯ ทำได้เลย ไม่ได้แก้กฎหมายที่สินค้าเป็นตัวหลัก แต่จะผูกโยงการคำนวณภาษีอย่างไร ยังเป็นโจทย์ของทางกรมฯ อยู่ หากมีความชัดเจนก็จะแจ้งอีกครั้งว่า สินค้าใดจะเป็นสินค้าที่เก็บคาร์บอนไปแล้วจะไปรวมอยู่ในกระบวนการที่ชดเชยได้
“หลายท่านอาจจะมองว่า เราเป็นกรมฯ ที่เก็บภาษีบาป เช่น เหล้า บุหรี่ เป็นต้น แต่หากดูโครงสร้างภาษีจริงๆ จะเห็นว่ารายได้ของกรมฯ 70% มาจากสินค้าที่มาจากสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น สรรพสามิตจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมือที่ให้ทุกท่านได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระบวนการผลิต เพื่อมุ่งสู่อัตราภาษีที่ลดลง ประชาชนก็จะได้ซื้อสินค้าราคาถูก และเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม”
นอกจากนี้ ทางกรมฯยังได้จัดทำมาตรการภาษีอีวี โดยมีการลดภาษีอากรขาเข้า และให้เงินอุดหนุนสูงสุดถึง150,000 บาทต่อคัน เพื่อช่วยดึงให้รถอีวีลดลงมา โดยมาตรการดังกล่าวมีการต่ออายุถึงปี 2568 โดยกรมฯ มีการสร้างแรงส่งให้รถอีวีเกิดขึ้นต่อไป
“ขอยืนยันว่า วิธีการเก็บภาษีสรรพสามิตที่ผ่านมา ไม่ได้โหด เช่น โปรแกรมภาษีความหวานใช้เวลา 8 ปี กว่าที่จะถึงขั้นบันไดลำดับสุดท้าย โดยโปรแกรมที่คิดจะมีระยะยาว เพราะกรมฯ มองว่าอาจจะมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบระหว่างทางกรมฯ ก็มีการทบทวนตลอด เช่นเดียวกับมาตรการภาษีสิ่งแวดล้อม กรมฯ ก็มีการให้เวลาในการปรับเปลี่ยน ค่อยเป็นค่อยไปกับภาคเอกชน และกับประชาชน”