สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย ยื่นหนังสือร้องนายกฯให้แบน”สารไกลโฟเซต-กลูโฟซิเนต”



  • ชี้เกษตรกรใช้ผิดที่ผิดทาง จนเกิดสารตกค้างในพืช
  • หวั่นก่ออันตรายผู้บริโภค
  • ร้องนายกฯ เปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ

นายสุกรรณ์สังข์วรรณะเลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัยและนายกสมาคมเกษตรปลอดภัยพร้อมด้วยเกษตรกรผู้บริโภคกว่า30รายเปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือร้องเรียนพล..ประยุทธ์จันทรโอชานายกรัฐมนตรีโดยนายสมพาศนิลพันธ์ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับเรื่องแทนว่าตั้งแต่วันที่1มิ..2563คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ห้ามนำเข้าจำหน่ายและครอบครองสารพาราควอตที่ใช้กำจัดศัตรูพืชในประเทศไทยจากนั้นเป็นต้นมาเกษตรกรได้หันใช้สารอีก2ชนิดได้แก่ไกลโฟเซตและกลูโฟซิเนตเพื่อกำจัดวัชพืชทดแทนพาราควอตในกลุ่มพืชมันสำปะหลังยางพาราปาล์มน้ำมันและไม้ผลและใช้ผิดที่ผิดทางโดยนำมาใช้ในแปลงพืชจากเดิมสารสองชนิดนี้จะใช้นอกแปลงเท่านั้นจึงเป็นผลให้มีสารตกค้างในพืชและพืชแคระแกร็นซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภคเมื่อเป็นเช่นนี้ตนจึงขอเสนอให้แบนสารทั้งสองชนิดนี้ไปเลยและมาหักมุมคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ต้องใช้สารเคมีไปเลย

ข้อเสนอของผมไม่ใช่เป็นการกลับคำพูดเดิม แต่กังวลว่าถ้าเกษตรกรใช้ผิดๆแบบนี้จะเป็นอันตรายต่อพืชที่ผู้บริโภคต้องกิน ตัวผมเองก็เป็นผู้บริโภคเหมือนกัน ต้องเข้าใจว่าไกลโฟเซตและกลูโฟซิเนต เอามาใช้ในแปลงพืชแบบพาราควอตไม่ได้ แต่เมื่อเกษตรกรไม่มีทางเลือกก็เอามาใช้ กลายเป็นทั้งเสียเงิน ผลผลิตเสียหาย มันสำปะหลังมีผลผลิตลดลง 50% มันสำปะหลังผลผลิตลดลง 30% ผู้บริโภคก็ได้รับสารตกค้าง

ดังนั้นจึงขอเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายทบทวนมติใหม่มี2ทางเลือกคือ1.ให้ยกเลิกการแบนสารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสที่ปัจจุบันถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่4และหันมาให้ใช้ได้ในรูปแบบจำกัดการใช้หรือ2.ถ้ายังแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเช่นเดิมก็ขอให้แบนไกลโฟเซตและกลูโฟซิเนตไปด้วยเพื่อเกษตรกรจะไม่นำไปใช้แบบผิดๆและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค

นอกจากนี้ ขอเสนอนายกรัฐมนตรีว่า ในเมื่อจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ก็ขอให้ปรับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อนรมว.เกษตรและสหกรณ์ และน..มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แล้วให้นำคนจากพรรคพลังประชารัฐมากำกับดูแลเอง เพราะทั้งนายเฉลิมชัย และ ..มนัญญา ไม่มีความจริงใจในการช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกร มีแต่ซ้ำเติมเกษตรกรด้วยการเพิ่มต้นทุนการผลิตและสร้างผลกระทบให้แก่เกษตรกรมากกว่าเดิม 

นายสุกรรณ์ กล่าวว่า การที่ประเทศอังกฤษแบนกะทิหรือผลผลิตจากมะพร้าวของไทยโดยอ้างว่าใช้แรงงานลิง น่าชะเกี่ยว้องกับการที่รัฐบาลไทยแบนสารพาราควอต เพราะไทยนำเข้าจากประเทศอังกฤษเป็นหลัก เพราะเรื่องการใช้แรงงานลิงร้องกันมา  7 ปีแล้วไม่ได้มีผลอะไร แต่เมื่อไทยแบนพาราควอตก็เกิดเรื่องแบนสินค้าจากมะพร้าวของไทยขึ้นทันที เรื่องนี้จึงเหมือนกรณีที่สหรัฐฯตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี)ของสินค้าไทยเพราะไทยไม่ยอมทำตามความต้องการของสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ยอมรับว่า ยังไม่สามารถหามาตรการหรือสารทดแทนพาราควอต ทั้งในด้านประสิทธิภาพและราคา รวมทั้ง ยังไม่มีแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ สิ่งที่กรมวิชาการเกษตรกรดำเนินการเป็นเพียงเสนอ “สารทางเลือก” ไม่ใช่ “สารทดแทน” โดยแนะนำให้ใช้กลูโฟซิเนต ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน แต่ไม่ได้ช่วยเกษตรกร เพราะไม่สามารถใช้สารดังกล่าวได้ในหลายพืช  อีกทั้ง ..มนัญญา ไปประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ให้ผ่อนปรนนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าที่มีการใช้สารพาราควอตและคอลร์ไพริฟอส เช่น ถั่วเหลืองกากถั่วเหลือง และข้าวสาลี จากต่างประเทศ ได้จนถึงวันที่ 1 มิ.. 2564 จึงเกิดภาวะสองมาตรฐานซ้ำเติมเกษตรกรไทยอย่างหนัก เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มผู้นำเข้า ผลักภาระให้เกษตรกรและผู้บริโภคต้องกินอาหารจากต่างประเทศที่มีสารเคมีชนิดเดียวกันตกค้าง

รมช.มนัญญา ยังเดินสายให้กรมวิชาการเกษตรแต่ละจังหวัด ออกตรวจจับเกษตรกรและร้านค้า ด้วยบทลงโทษสูงกว่ายาบ้าและเฮโรอีน ที่มีโทษสูงสุด ติดคุก 10 ปี หรือปรับ 1 ล้านบาท ขณะที่กรมวิชาการเกษตรยังไม่สามารถหามาตรการหรือสารทดแทนและแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกรได้

นายสุกรรณ์ กล่าวด้วยว่า การร้องเรียนครั้งยังยังได้ไปพบกับกรมวิชาการเกษตร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และตัวแทนของพรรคภูมิใจไทย ด้วย และในนามตัวแทนเกษตรกรและผู้บริโภค จึงขอนำเสนอรวมไปไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยให้พิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วน ด้วยความเที่ยงธรรม ไม่เลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนหยุดเล่นเกมการเมือง และขอเป็นที่พึ่งของประชาชนไทยอย่างแท้จริง