- วาง 13 หมุดหมายไปให้ถึงเป้า
- เปิดรับฟังความคิดเห็นถึงเดือนพ.ค.นี้ ก่อนยกร่างฉบับสมบูรณ์
- มุ่งปรับโครงสร้างภาครัฐให้มีสมรรถนะสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 7 เม.ย.นี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)จะนำเสนอกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (แผนพัฒนาฯ 13) ซึ่งจะนำมาใช้ในปี 2566-2570 วางกรอบที่จะพลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน
นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ได้วาง 13 หมุดหมาย ประกอบด้วย 1. ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2.ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน 3. ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ของอาเซีย 4. ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูงแบบครบวงจร 5..ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ ที่สำคัญของภูมิภาค 6.ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน 7.ไทยมีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่เข้มแข็ง เติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน 8. ไทยมีพื้นที่และเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความเจริญ ทันสมัยและน่าอยู่
9.ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 10.ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เหมาะสม และสังคมคาร์บอนต่ำ 11.ไทยสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 12.ไทยมีกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต 13. ไทยมีภาครัฐสมรรถนะสูง บูรณาการเป็นเอกภาพ โครงสร้างภาครัฐยืดหยุ่น และมีความยั่งยืนทางการคลัง ขณะที่การบริหารงานภาครัฐและการให้บริการสาธารณะปรับสู่รูปแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีกฎหมาย กฎระเบียบและมาตรการภาครัฐทันสมัย สนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ พร้อมทั้งให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการพัฒนาและติดตามตรวจสอบการพัฒนาประเทศได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่วมกับ ภาคส่วนต่างๆทั้งประชาชนภาคเอกชน นักวิชาการ จากช่วงนี้ไปจนถึงเดือน พ.ค.2564 ก็สามารถเพิ่มเติมหมุดหมายได้อีก จากนั้นสศช.จะ นำความเห็นที่ได้รับมาปรับปรุงกรอบแผนฯพร้อมทั้งยกร่างแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ฉบับสมบูรณ์ ระหว่างเดือนมิ.ย.2564-ม.ค.2565 และนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และครม. ช่วงเดือนก.พ.-เม.ย.2565 ก่อนนำรายงานให้รัฐสภาทราบเดือน พ.ค.-ก.ค.2565 เพื่อประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
