- สู่อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปขั้นสู
- ตั้งเป้าให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ผู้ส่งออกอาหารโลก
- เน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการยกระดับการผลิต
นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยแผนการทำงานในปีนี้ว่า จะเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูประยะ 10 ปี(ปี2562-2572) สู่ภาคปฏิบัติเพื่อยกระดับเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน(โอทอป) เข้าถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและของเหลือใช้ และ พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารอนาคต(Future Food) ที่ จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทำการวิจัยการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากกัญชง ขยายขอบเขตการส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัย สู่เป้าหมายการเป็น 1 ใน 10 ประเทศผู้ส่งออกอาหารของโลก และศูนย์กลางการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพของอาเซียน โดยปีที่ผ่านมาประเทศไทย เป็นผู้ส่งออกอาหารโลกอันดับที่ 11 ด้วยมูลค่า 33,100 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่งในตลาดโลก 2.51% เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 12 และเมื่อเทียบกับ 5 ประเทศผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียพบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากจีน
นางอนงค์ กล่าวว่า สถาบันฯจะเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการนำนวัตกรรมด้านการผลิตอาหาร ไปเสริมศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในแต่ละระดับอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความพร้อมในการลงทุนของผู้ประกอบการ เน้นนวัตกรรมที่ทำได้ทันที ด้วยเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ตอบรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในกลุ่มอาหารอนาคต(Future Food) อาทิผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ อาหารวีแกน(อาหารที่ไม่ได้ผลิตจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดหรือผลิตจากผลิตภัณฑ์ของสัตว์เช่น เนย นม ไข่) อาหารนักกีฬา อาหารผู้สูงอายุ อาหารเด็ก การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและของเหลือ เช่น การผลิตไซรัปจากข้าว รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ๆ ที่ช่วยลดต้นทุน ลดขั้นตอน เพื่อตอบโจทย์ลดการใช้แรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น
สำหรับการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากกัญชง ที่สถาบันฯ มีความพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดความรู้ที่พร้อมถ่ายทอดแก่ผู้ประกอบการ ทั้งเรื่องการรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งด้านงานวิจัย กฎหมาย การค้า การพัฒนาวิธีตรวจวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณสาร CBD ซึ่งเป็นสารสกัดจากกัญชง ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนต่างๆ ของกัญชง การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมเผยแพร่ความรู้ โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเตรียมความพร้อมหลังกฎหมายเปิดให้นำมาผลิตเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้
ล่าสุด สถาบันฯได้มีการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายด้านเทคโนโลยีกับหน่วยงานชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อเป็นทางลัดในการพัฒนาและถ่ายทอด ให้ผู้ประกอบการได้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเข้าถึง และนำมาปรับใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ซึ่งสถาบันฯได้จัดตั้งหน่วยงานที่มีความพร้อมในการให้บริการแบบครบวงจร ใน 2 จังหวัด คือ กรุงเทพ และจังหวัดสงขลา ที่พร้อมให้บริการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ การผลิตระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็กเพื่อทดลองตลาด โดยสายการผลิตได้รับการรับรองสถานที่ผลิตอาหาร(อย.) และยังมีบริการออกแบบโรงงาน ผังกระบวนการผลิต การขออนุญาตขึ้นทะเบียน การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและมาตรฐานประเทศคู่ค้า การประเมินอาหารใหม่ (Novel food) การตรวจวิเคราะห์ด้านห้องปฏิบัติการ การทดสอบตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ การจัดทำแผนธุรกิจ และการวิจัยตลาด เป็นต้น
นางอนงค์ กล่าวว่า สถาบันฯยังจะให้การ ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องอาหารไทย เผยแพร่อัตลักษณ์อาหารไทยและศักยภาพการเป็นครัวของโลกผ่าน ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย (Thai Food Heritage) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม มีพื้นที่สำหรับจัดอบรมสัมมนา จัดงานเลี้ยง และกิจกรรมต่างๆ ขนาดความจุสูงสุดถึง 250 ที่นั่ง รวมถึงห้องสำหรับการสอนทำอาหาร (Culinary Class) ห้องสาธิตหรือเปิดตัวสินค้า (Demonstration Room) ที่มีฟังก์ชั่นการให้บริการรูปแบบต่างๆ ที่ยืดหยุ่นได้ไว้ให้บริการอีกด้วย