

วันที่ 16 ก.ค.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 (ศบค.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธาน ได้ประเมินสถานการณ์การติดเชื้อในพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด คือ กรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร รวมทั้ง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งจากการรายงานผลการกำกับมาตรการไปแล้ว 5 วัน มีการรายงานตัวเลขจาก ศปม. ทั้งการฝ่าฝืนมาตรการ รวมทั้งตัวเลขการติดเชื้อของผู้ป่วยใหม่ จนนำมาถึงการสรุปในที่ประชุม ศบค. อาจจะจำเป็นต้องปรับมาตรการให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น อาจจำเป็นต้องมีการปิดกิจการบางอย่าง จากเดิมที่อนุญาตให้เปิดกิจการกิจกรรมได้ถึงเวลา 20.00 น. เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาเดินทางกลับบ้าน และเวลาที่ห้ามออกนอกเคหสถาน หลังจากเวลา 21.00 น. ในที่ประชุมวันนี้ มีการพิจารณาอาจจะมีการปิดกิจการกิจกรรมให้มากขึ้น ปิดมากที่สุดและอาจจะปรับมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น ขอให้ติดตามการรายงานในเร็วๆนี้
“ที่ประชุมมีความเป็นห่วง สอดคล้องกับกรมควบคุมโรคที่พบรายงานการออกนอกเคหสถาน และการรวมกลุ่ม ทั้งการจับกุม เช่น เล่นไพ่ท้ายรถกระบะ เป็นต้น จากการรายงานผลการกำกับมาตรการ 5 วันที่ผ่านมา มีข้อสรุปว่าเรามีความเป็นห่วง และอาจปรับมาตรการเข้มข้นขึ้นมากกว่านี้ อาจปิดกิจการบางอย่าง ให้มากขึ้นมากที่สุดในเร็วๆนี้ จากเดิมที่ล็อกดาวน์ใน 10 จังหวัด แต่เมื่อทบทวน 5 วันที่ผ่านมา การบังคับใช้มาตรการยังน่าเป็นห่วง ผอ.ศบค. จึงขอให้คณะแพทย์ที่ปรึกษานำเสนอมาตรการเร่งด่วน”พญ.อภิสมัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายการข่าวว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีการประเมินหลังออกมาตรการเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร รวมทั้ง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขยกระดับมาตรการเพิ่มขึ้น เช่น การขยายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก คือ จังหวัดชลบุรี หรือ อาจจะบังคับใช้มาตรการทั่วประเทศ โดยให้กลับไปหารือและเสนอ ศบค.โดยเร็วที่สุด