“วงศ์สกุล” ฉายภาพ “มิติใหม่อัยการเเผ่นดิน” ลั่นยังคงไว้ซึ่งคุ้มครองสิทธิ์ให้ประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้รัฐ



  • สำนักงานอัยการสูงสุด จัดงานใหญ่เชิญบุคลากรทั่วประเทศร่วมงาน
  • เผยเป็นการระดมความคิดจากทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาสำนักงานฯให้ออกมาดี
  • พร้อมนำระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลง
  • ลั่นจัดงานครั้งนี้ใช้เงินอย่างคุ้มค่าแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ย.2563) สำนักงานอัยการสูงสุด ได้จัดการสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง มิติใหม่อัยการแผ่นดิน โดยมีผู้บริหารเเละพนักงานอัยการทั่วประเทศ 1,529 คน เเละข้าราชการธุรการ ประมาณ 500 กว่าคน คนเข้าร่วมงาน ณ อิมแพคฟอรั่ม ฮอลล์ 4

โดยนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง Vision to Mission วิสัยทัศน์สู่มิติใหม่อัยการ ว่าปัจจุบันสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีความอิสระ ตลอดเวลา 127 ปีที่ผ่านมา เราผ่านความเปลี่ยนแปลงกันมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการย้ายกระทรวงต้นสังกัดจากกระทรวงยุติธรรมไปกระทรวงมหาดไทย และไปเป็นส่วนราชการอิสระ จนกระทั่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และได้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับอัยการ จากพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ เป็นพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 ขึ้นเป็นเวลาครบ 10 ปีพอดีซึ่ง การขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้านั้นไม่อาจสำเร็จลงได้หากปราศจาก ความร่วมมือร่วมใจจากบุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุดทุกคน

“ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุด ตั้งใจพยายามทำให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นบ้านที่น่าอยู่ของเราทุกคน ก็ลงมือทำอย่างเต็มที่ จนหลายสิ่งหลายอย่างเริ่มสำเร็จเป็นรูปธรรม เชื่อว่าทุกคนคงเห็นความเปลี่ยนแปลงของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ของทุกท่านในทางที่ดีขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแยกและยกระดับงานสนับสนุนพนักงานอัยการออกมาเป็นสำนักงานเลขาธิการสำนักงานอัยการสูงสุด การตั้งหน่วยงานใหม่ การประกาศใช้ระเบียบการดำเนินคดีต่างๆ รวมทั้งระเบียบการฝึกอบรม ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่แต่ละคนมีความรับผิดชอบอยู่ทั้งสิ้น ทั้งทางด้านโลจิสติก ให้พวกเรามีสถานะความเป็นอยู่ทัดเทียมกับองค์กรอื่น มีความทันสมัยตอบโจทย์สังคมยุคดิจิทัลได้ทันท่วงที และในขณะเดียวกันก็ต้องมีการพัฒนาต่อยอดด้านองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ ดังจะเห็นได้จากบรรดาหน่วยงานใหม่ที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ทั้งสถาบันนิติวัชร์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการสอบสวน และการดำเนินคดี สถาบันฝึกอบรมการว่าความชั้นสูง สถาบันฝึกอบรมการสอบสวนชั้นสูง ล้วนแต่เป็นหน่วยงานด้านวิชาการที่จะเป็นคลังสมองของพวกเรา มีหน้าที่สร้างสรรค์และรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานอัยการให้ดียิ่งขึ้น” นายวงศ์สกุล

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ ต้องมีการจัดการสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น ที่บอกว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งนั้น เพราะนอกจากการทำให้ ทุกคนรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือก้าวใหม่ของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว การรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ โดยมีปฏิสัมพันธ์ตรงจากทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน พนักงานอัยการ หรือธุรการก็ตาม รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจร่วมกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการปฏิบัติงาน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรตามนโยบายของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงต้องมีการเชิญอัยการและธุรการจากทั่วประเทศ ทุกสำนักงานมารวมกันในวันนี้ แม้บางท่านอาจมองว่าการสัมมนาในครั้งนี้ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่หากคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายบุคคลแล้ว จะเป็นจำนวนเงินเพียงน้อยนิด และผมสัญญาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการการสัมมนานั้นจะมีความคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กรอันจะส่งผลถึงการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน

นายวงศ์สกุล กล่าวว่า ในการรับฟังความคิดเห็นจากการประชุมสัมนนาครั้งนี้ แม้ตนจะยึดมั่นในระบบอาวุโสซึ่งเป็นรากฐานในการปฏิบัติงานของพวกเรามาโดยตลอด แต่ตนก็มีความเชื่อมั่นในแนวคิดที่จะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มที่ เพราะความจริงแล้วตนเองมองไปไกลกว่านั้น คือมุ่งหวังให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานนำในการพัฒนาและขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล 

นอกจากนี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่หวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เช่น การนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือแม้กระทั่งการสัมมนาในครั้งนี้เองที่มีการใช้ระบบการลงทะเบียนรวมไปถึงการเบิกจ่ายที่ไม่ใช้การลงลายมือชื่อ หรือส่งเอกสารเป็นกระดาษจำนวนมากแบบเดิม ๆ เป็นต้นเหล่านี้คือสิ่งที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เริ่มลงมือปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เราสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคมในการทำหน้าที่ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงในขณะนี้สำนักงานอัยการสูงสุดกำลังดำเนินการพัฒนาระบบเทคโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานอัยการ โดยเปลี่ยนสารบบคดี ระบบงานสคช. และระบบข้อมูลบริหารงานบุคคล ให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด

นายวงศ์สกุล กล่าวต่อว่า เมื่อพูดถึงเรื่องของหน้าที่แล้ว หน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมก็ดี การรักษาผลประโยชน์ของรัฐก็ดี รวมไปถึงการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนที่เป็นภารกิจของพวกเรานั้นล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งพวกเราเองก็มีความภาคภูมิใจมาตลอดว่า สำนักงานอัยการสูงสุดถือเป็นหน่วยงานหลักในกระบวนการยุติธรรมมายาวนาน

อย่างไรก็ดี ในการที่จะพัฒนาต่อไปนั้น หากมองในมุมของตัวเองเพียงอย่างเดียวคงไม่รอบด้าน ยิ่งในบริบทของสังคมปัจจุบัน ที่เราเองก็ไม่ใช่หน่วยงานเดียวในกระบวนการยุติธรรมที่มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ของรัฐ คุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนดังกล่าว แม้แต่หน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมด้านการฟ้องคดีอันเป็นเสมือนภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดที่ประชาชนทั่วไปจะนึกถึงนั้น ก็ไม่ได้ถูกผูกขาดไว้กับสำนักงานอัยการสูงสุดแต่เพียงหน่วยงานเดียวอีกต่อไป ซึ่งหากมองในมุมหนึ่งก็อาจถือได้ว่าเป็นผลดีแก่ประชาชนที่จะมีช่องทางหรือมีทางเลือกในการที่จะได้รับความยุติธรรมที่หลากหลาย และมีการตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานรัฐอย่างเต็มที่

“หากมองในอีกมุมหนึ่ง การที่เราไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่มีหน้าที่ดังกล่าว ทำให้เราต้องมาพิจารณาอย่างจริงจังและช่วยกันคิดว่า เราจะทำอย่างไรให้บ้านของเรา คือสำนักงานอัยการสูงสุดนี้ เป็นหน่วยงานที่ดี ที่พึ่งได้และเป็นหน่วยงานหลักในบรรดาหน่วยงานทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ว่าใครก็นึกถึงและเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในมุมนี้สำนักงานอัยการสูงสุดเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุดด้วย” นายวงศ์สกุล กล่าว

ทั้งนี้ในปัจจุบันนี้สำนักงานอัยการสูงสุด กำลังดำเนินแก้ไขพระราชบัญญัติองค์กรอัยการ และพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 ตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม โดยมีการเทียบตำแหน่งเลขาธิการ รองเลขาธิการ และผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานอัยการสูงสุด ตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ. 2562อันจะมีผลทำให้เป็นการเทียบตำแหน่งพนักงานอัยการโดยปริยาย

“ส่วนตัวตนอยากให้มองอนาคตสำนักงานอัยการสูงสุดของเราควรจะพัฒนา และก้าวเดินไปในทางใด ขอให้อย่าลืมวัฒนธรรมสำคัญขององค์กรเรา คือ ความสามัคคีและความเป็นพี่น้องสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้องค์กรของเราผ่านปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ และร่วมกันกับผมและคณะผู้บริหารชุดปัจจุบัน เป็นพลังในการขับเคลื่อนสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป เพื่อไปสู่ มิติใหม่ อัยการแผ่นดิน” นายวงศ์สกุล กล่าว

ทั้งนี้นายวงศ์สกุล ยังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อทวลชนด้วยว่า ในส่วนราชการของอัยการสูงสุด ได้มีการปรับเปลี่ยนตามสังคมที่เปลี่ยนแปลง โดยประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงคนในองค์กรอัยการเอง ที่จะมีส่วนเข้ามาคิดและปฏิบัติหน้าที่ โดยการจัดสัมมนาครั้งนี้ เป็นความจำเป็นที่สำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและทัศนคติ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทของสังคม 

โดยในช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุด มีการปรับปรุงระเบียบโครงสร้างจำนวนมาก ซึ่งทำให้ตอบสนองในการบริการประชาชน ซึ่งการจะปรับเปลี่ยน ก็จำเป็นจะต้องระดมความคิด จากพนักงานอัยการและประชาชนสื่อมวลชน และผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ ในการสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้ได้ประโยชน์มากที่สุด นับตั้งแต่การใช้กฎหมายอัยการในปี 2553 โดยตัวระเบียบและข้อกฎหมายอาจจะมีการขัดข้อง ทำให้ต้องเชิญบุคลากรมาเพื่อแสดงความคิดเห็น เพื่อที่จะได้ปรับปรุงต่อไป

“ในการสัมมนาวันนี้มีพนักงานอัยการและบุคลากร 60-70% ทั่วประเทศมาร่วมให้ความคิดเห็น ซึ่งข้อคิดเห็นที่ได้ในการจัดสัมมนา จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับในอนาคตได้ เรามีบุคลากรใหม่ในช่วง 1-2 ปี เพิ่มขึ้นนับพันคน ถือเป็นสายเลือดใหม่ของอัยการ ก็จะนำสู่การเปลี่ยนแปลง โดยกฎหมายของอัยการที่ต้องแก้อันดับแรก จะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับตัวองค์กร อย่างที่ได้มีการปรับโครงสร้างทางธุรการ จากสำนักงานนโยบายแผนและยุทธศาสตร์มาสู่ สำนักงานเลขาธิการอัยการสูงสุด” นายวงศ์สกุล กล่าว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวยังมีการถามเกี่ยวกับการใช้งบประมาณจัดงานครั้งนี้ ตามที่มีสื่อมวลชนบางสำนักได้เผยแพร่ ซึ่งมีการตั้งข้อสงสัยว่าใช้งบประมาณสูงในการจัดงานนี้ โดยนายวงศ์สกุล กล่าวว่า งบประมาณเราใช้ต่อหัวไม่กี่พันบาท ซึ่งมั่นใจว่าใช้งบประมาณคุ้มค่า ซึ่งทางสำนักงานฯก็ไม่ได้จัดงานประเภทนี้มาหลายสิบปีแล้ว การระดมความคิดเห็นก็จะนำมาพัฒนาบุคลากรของสำนักงานฯเอง ปรับทัศนคติในการทำงาน ซึ่งเขื่อว่าคุ้มค่าในการทำงานให้บริการประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด