สัปดาห์ที่แล้ว “คุณนายพารวย” พาไปทำความรู้จักกับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นตามข้อมูลจากบทความในเว็บไซต์https://www.setinvestnow.com
เรื่อง “ลงทุนหุ้นผ่านกองทุนหุ้นไทยผลตอบแทนก็ปังได้ไม่แพ้หุ้นโลก”
ที่เราจัดกองทุนหุ้นไทยเป็น 3 ประเภทหลัก คือ กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก,กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ และกองทุนหุ้นทั่วไป ซึ่งคราวที่แล้วได้รู้จักกับกองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กไปแล้วว่าคือ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเล็กที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม(NAV) โดยการลงทุนในหุ้นเล็ก จากสถิติมักมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นใหญ่ โดยจากสถิติย้อนหลัง 5 ปีพบว่ากองทุนในหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.64%ต่อปี
สัปดาห์นี้ เรามาทำความรู้จักกับกองทุนรวมหุ้นอีก 2 ประเภท คือ“กองทุนหุ้นใหญ่” (Equity Large Cap)ที่เน้นลงทุนในหุ้นใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SET50 เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาโอกาสลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของประเทศในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมถือเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูงหรือเรียกภาษาชาวหุ้นว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
ซึ่งกองทุนหุ้นใหญ่จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 6.08% ต่อปี (ข้อมูลณ 31 มี.ค. 64 จากมอร์นิ่งสตาร์รีเสิร์ช (ประเทศไทย)) แม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่ากองทุนรวมหุ้นเล็กแต่ความเสี่ยงในการลงทุนก็มักจะต่ำกว่า
กองทุนรวมอีกประเภทคือ “กองทุนหุ้นทั่วไป” (Equity General) ถือเป็นกองทุนหุ้นไทยที่บลจ.ต่างๆนำเสนอออกมามากที่สุดเพราะมีความยืดหยุ่นของนโยบายการลงทุนสูงสามารถลงทุนหุ้นได้ทุกประเภททุกขนาดทุกตลาดโดย ‘ไม่มีข้อจำกัด’ ทำให้มีโอกาสเลือกหุ้นที่หลากหลาย โดยพบว่า ผลตอบแทนของกองทุนกลุ่มนี้ เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 5.95% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 มี.ค.64 จาก มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย))
นอกจากกองทุนรวมหุ้นไทยทั้ง 3 ประเภทนี้แล้ว ยังมีกองทุนรวมหุ้นกลุ่ม “กองทุนดัชนี SET 50” ที่เป็น “กองทุนรวมดัชนี” (Index Fund) และ “กองทุนรวมอีทีเอฟ” (ETF) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนี SET50 มากที่สุด มุ่งสร้างผลตอบแทนเกาะไปกับดัชนีที่ใช้เทียบวัด เป็นกองที่น่าสนใจสำหรับมือใหม่ เนื่องจากเข้าใจง่ายและค่าธรรมเนียมต่ำ
และยังมี “กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund)” ซึ่งเป็นกองทุนที่มุ่งลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ของกองทุน เช่น กลุ่มพลังงาน, กลุ่มสุขภาพ, กลุ่มธนาคาร หรือ กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น โดย Sector Fund นี้ จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า “กองทุนหุ้น” ปกติ เพราะลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเพียงอุตสาหกรรมเดียวเป็นสัดส่วนสูงมากนั่นเอง จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีความเข้าใจการลงทุนในหุ้นดีและสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่า
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยทั้งหมดนี้ มี 2 รูปแบบ คือ 1.กำไรจากการขายหน่วย (Capital Gain) นั่นคือ กำไรที่เกิดจากการขายหน่วยลงทุนในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา โดยกำไรส่วนนี้ “ไม่เสียภาษี” 2.ผลตอบแทนจาก “เงินปันผล” กองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล จะนำผลตอบแทนจากการลงทุนมาจ่ายคืนในรูป “เงินปันผล”แต่เงินปันผลที่ได้รับต้อง ‘เสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 10%’ ดังนั้น การเลือกกองทุน “ปันผล” หรือ “ไม่ปันผล” จึงขึ้นกับความต้องการกระแสเงินสด บางคนอาจต้องการเงินก้อนโตที่ปลายทางการลงทุน ขณะที่บางคนอยากได้กระแสเงินสดระหว่างทางที่ลงทุนเพื่อความอุ่นใจ สุดท้ายอยู่ที่เราว่าจะ“ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม”เพื่อนำไปสู่เป้าหมายความมั่งคั่งของเราอย่างไร!!
#คุณนายพารวย#รู้เก็บ#รู้ออม#รู้ใช้#รู้ลงทุน #ความมั่งคั่ง#ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย#Thejournalistclub #วัคซีนโควิด