

นายพินิจ จารุสมบัติ ในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ กล่าวถึงการร่วมประชุมร่วมกับท่านทูตจีนคนใหม่ หรือ นายหาน จื้อเฉียง ว่า ครั้งนี้เนื่องจากมีวิกฤตโควิด-19 ทำให้รูปแบบเปลี่ยนจากงานเลี้ยงมาเป็นการต้อนรับผ่านการประชุมออนไลน์ด้วยระบบซูมแม้จะไม่ได้พบกันต่อหน้าเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ใช้เวลาประมาณ 78 นาที
“ท่านทูตกล่าวว่า มีความยินดีในการมาทำหน้าที่ในประเทศไทย จีน-ไทย คือพี่น้องกัน และหวังว่าสภาวัฒนธรรมไทย-จีนฯ ของเราจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือในการพัฒนาความสัมพันธ์ให้ยกระดับมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นวิกฤตโรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงสถานการณ์ทะเลจีนใต้กับอาเซียน และการครบรอบ 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน”
นายพินิจ กล่าวต่อว่า บทบาทหลักของสภาวัฒนธรรมไทย-จีนฯ คือเราจะทำหน้าที่เป็นสะพานเล็กๆ แต่เป็นสะพานที่ใช้เสาศิลาปักอยู่อย่างคงทน และมั่นคงในการเชื่อมสัมพันธภาพ วันนี้เราต้องอ่านอนาคตจากความจริงว่าจีนคือตลาดการค้า จึงต้องพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น พยายามเสริมสร้างมิตรภาพไม่ให้มีช่องโหว่ ต้องสนับสนุนให้การไปมาหาสู่ พูดคุย แลกเปลี่ยน สัมมนา โรดโชว์ แนะนำสินค้า และอีกมากมาย
ทั้งนี้ในปัจจุบันการบริโภคของประชากรจีนมีสูงมาก 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้จีนก้าวกระโดด พลิกโฉมหน้าจากความยากจน ถูกรังแกข่มเหง วันนี้ประชาชนมีกินมีใช้ รัฐบาลจีนประกาศแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้น คาดว่าจะมีประชาชนจีนที่มีรายได้ปานกลาง พ้นจากความยากจนขึ้นมาอีก 800-900 ล้านคน ดังนั้นจะอำนาจการซื้อจะใหญ่มาก ความต้องการสินค้า อาหาร ผลไม้ เนื้อสัตว์ ย่อมส่งผลมาถึงไทยแน่นอน
“เราจะยกระดับเศรษฐกิจ ตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับจีนให้มากขึ้น จากขณะนี้ 2 แสนล้านเหรียญ ให้เป็น 5 แสนล้านเหรียญ เป็นล้านล้านในอีก 1-2 ปี ได้อย่างไร รัฐบาลและผู้ดูแลด้านนี้ต้องคิดใหญ่ไปถึงขนาดนั้น ไม่ใช่คิดแค่ 4 แสนล้าน แต่ต้องคิดให้ก้าวกระโดด”
นอกจากนี้ผมเสนอต่อท่านหาน จื้อเฉียง ว่าวิกฤตครั้งนี้ เราต้องร่วมมือพัฒนาความสัมพันธ์ให้ก้าวกระโดด เน้นในด้านเศรษฐกิจการลงทุนทุกมิติ อาจจะต้องคุยกันว่าจะร่วมมือกันอย่างไรให้สินค้าไทยไปถึงจีนให้มากที่สุด ส่วนการท่องเที่ยวก็ต้องดูว่าจะเป็นไปได้เมื่อไหร่ รวมถึงในด้านการคมนาคม ควรเปิดช่องทางเชื่อมระหว่างไทย-จีน โดยผ่านประเทศที่สาม อย่างลาว หรือเมียนมาก็แล้วแต่ นี่คือสิ่งจำเป็นมาก ต้องเปิดฮับ ให้มากขึ้น ท่านก็เห็นด้วยอย่างมาก
“ตอนนี้รถไฟความเร็วสูงของจีนจากคุนหมิงมาถึงเวียงจันทน์แล้ว จะเปิดเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันชาติลาว 2 ธันวาคมนี้ ตอนแรกมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าจะเอาเงินลงทุนที่ไหน จะใช้หนี้อย่างไร แต่จีนดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยมิตรภาพ ขาดทุน ค่าตั๋ว คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 400 กว่าบาทเท่านั้น ถูกกว่านั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯไปหนองคายอีก รถไฟเหล่านี้จะพาคนจีนมาสู่อินโดจีน สู่อาเซียน สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา”
ส่วนหลังพ้นสถานการณ์โควิดไทยยังต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับจีน ต้องดูว่าประชากรจีนต้องการบริโภคสินค้าอะไรจากไทยบ้าง เรามีสินค้าอะไรบ้างที่จะส่งไปขายให้จีน ทำเป็นตัวๆ เลย มิสเตอร์ทุเรียน มิสเตอร์ลำไย มิสเตอร์สุกร มิสเตอร์ยางพาราอย่างปีที่ผ่านมาทุเรียนปิดราคาสุดท้ายกิโลกรัมละ 90 บาท ในอดีตเปิดมากิโลกรัมละ 20 บาท แต่นี่ปิดกิโลกรัมละเกือบ 100 บาท ปีนี้เชื่อว่ายิ่งร้อนแรง เพราะทุเรียนไทยไปทั่วทุกภาคของจีน
“คนจีนติดใจข้าวหอมมะลิของเราอย่างมาก ทุกครั้งที่เพื่อนคนจีนมาหา ผมเลี้ยงข้าวหอมมะลิอย่างดี จากทุ่งกุลาร้องไห้ เขาบอกหอมมาก เราต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวอีก ส่วนยางพารา ผมได้รับการติดต่อจาก 3 บริษัทใหญ่จากจีน ขอซื้อยางแท่ง ถ้าไม่พอก็ขอซื้อยางถ้วย ยางดิบ น้ำยางข้น ราคายางพุ่งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ผมแฮปปี้มาก โดย 2 รายในนั้นมาจากการจัดงานวันยางพาราบึงกาฬ ต้องการทำสัญญาปีหนึ่งเป็นแสนตัน”
ขณะที่ภาพสะท้อนจากความสำเร็จในวาระ 100 ปีพรรคคอมนิวนิสต์จีน เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะได้เปลี่ยนโฉมประเทศจีน จากยากจนข้นแค้น อดตาย หนาวตาย ถูกรุกราน มาเป็นประเทศที่มีประชากรที่พ้นจากความยากจนทั้งหมดได้ 1,400 ล้านคน กลับกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจ อันดับต้นๆ ของโลก ตอนนี้จีนกำลังมีการปรับระบบที่มีปัญหาที่ตอบสนองเฉพาะคนรวยให้มาดูแลคนระดับปานกลางด้วย เพราะต้องการให้สังคมรับใช้ประชาชนส่วนรวม ไม่ใช่รับใช้เศรษฐี ไม่ใช่ให้ทุนรับใช้นายทุน แต่รับใช้ประชาชนคนยากคนจนทั่วไปด้วย ผ่อนคลายให้คนอื่นรวยบ้าง ให้มีกินมีใช้บ้าง
ส่วนกระแสคุณภาพของวัคซีนจีน นายพินิจ กล่าวว่า ต้องดูจากข้อเท็จจริงว่าวัคซีนมีหลากหลายเทคโนโลยี แต่ละประเภทก็มีจุดดี จุดแข็ง จุดอ่อนที่แตกต่างกัน ของจีนเป็นวัคซีนเชื้อตาย ทำกันมานาน ค่อนข้างปลอดภัย ผมคิดว่าวัคซีนจีนมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ต้านทานไวรัสโคโรนา 2019 ได้ ไวรัสตัวนี้ก็มีหลายสายพันธุ์ พัฒนาแปรเปลี่ยน วัคซีนก็ต้องมีการพัฒนาไปด้วย จะไปพูดว่าวัคซีนจีนไม่ดี พูดไม่ได้ คนจีนทั้งประเทศฉีดวัคซีนจีนพันกว่าล้านคน วันนี้ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยแล้ว คุมอยู่ทั้งหมด แสดงว่าได้ผล
ในระดับโลกมีการเมืองระหว่างค่ายตะวันตกกับตะวันออก มีการใช้วัคซีนในการเป็นเครื่องมือห้ำหั่น และการแสวงหาผลประโยชน์ มหาอำนาจขัดแย้งกันหลายเรื่อง เอาเรื่องนี้ผสมโรงไปด้วย เราต้องใช้วิจารณญาณในข้อเท็จจริงติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ส่วนประเด็นข้อพิพาททะเลจีนใต้จะส่งผลกระทบในอาเซียนและไทยหรือไม่นั้น นายพินิจ กล่าวว่า ข้อพิพาททะเลจีนใต้ มหาอำนาจทั้งหลายไม่ควรเข้ามายุ่ง ควรเป็นเรื่องของประชาชาติในเอเชียทั้งหมดที่เกี่ยวพัน โดยเฉพาะในอาเซียน มาพูดคุยกัน ทำความร่วมมือ วิจัย ค้นคว้าร่วมกัน นี่คือแนวทางที่ผมเห็นด้วยกับท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเสนอว่าเราจะต้องพัฒนาไปสู่อารยธรรมที่มนุษย์แบ่งปันกัน อยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเอื้ออาทร เมตตาต่อกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก มติชน