

- สร้างงานสร้างอาชีพทั่วภูมิภาคในประเทศ
- กระจายรายได้ให้ลูกจ้าง ปี 65
- เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 14 มี.ค.65
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดรับสมัครผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมยกระดับมาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์ ประจำปี 2565 เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพทั่วภูมิภาคในประเทศ และเร่งผลักดันนโยบายให้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะได้ผู้สร้างอาชีพจนเป็นผู้ประกอบการในโครงการเดียวนี้ 10,000 ราย ภายใน 1 ปี
ผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับความรู้เกณฑ์มาตรฐาน การให้คำปรึกษาเชิงลึก การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ การศึกษาดูงานแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเปิดรับสมัครผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 14 มี.ค.65
สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการได้ ต้องจดทะเบียนจัดตั้งในรูปแบบนิติบุคคล และประกอบธุรกิจแฟรนไชส์มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี มีแฟรนไชส์ซีไม่น้อยกว่า 3 สาขา และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดทั้งโครงการ

ทั้งนี้ตลาดธุรกิจแฟรนไซส์ในประเทศไทยมีการขยายตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะแฟรนไชส์เป็นระบบธุรกิจที่มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ผู้ที่กำลังมองหาและอยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่สนใจเลือกแฟรนไชส์เป็นธุรกิจเริ่มต้น
“ธุรกิจแฟรนไชส์จะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ต้องดูว่าธุรกิจนั้นมีมาตรฐานมามากน้อยเพียงใด เพราะธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน จะเป็นรากฐานเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเจริญเติบโตให้กับธุรกิจต่อไป ดังนั้น มาตรฐานแฟรนไชส์ที่ผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ต้องให้ความสำคัญ คือ ระบบการปฏิบัติงาน คุณภาพของสินค้า และมาตรฐานการให้บริการ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแฟรนไชส์ซอร์ และแฟรนไชส์ซี ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ คือ เกณฑ์มาตรฐานแฟรนไชส์ ที่เป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจจะมีโอกาสเติบโตได้หรือไม่”
รายงานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินการผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์เข้าสู่มาตรฐานสากลมาอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ.2565 มีธุรกิจแฟรนไชส์เข้ารับการประเมินและผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินแล้วทั้งสิ้น 477 ราย แบ่งตามประเภทธุรกิจได้ ดังนี้ 1.ธุรกิจอาหาร 205 ราย 2.ธุรกิจเครื่องดื่ม 93 ราย 3.ธุรกิจการศึกษา 65 ราย 4.ธุรกิจบริการ 58 ราย 5.ธุรกิจความงามและสปา 24 ราย และ 6.ธุรกิจค้าปลีก 32 ราย
