ผู้นำเอเปคหารือความร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19



  • “โดนัลด์ ทรัมป์”ยืนยันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง
  • สิงคโปร์-ฮ่องกงโชว์นำร่องจัดทำ travel bubble
  • ไทยประกาศเปิดรับนักธุรกิจจาก 8 เขตเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศกระทรวงการต่างประเทศ ได้สรุปผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 วันที่ 20 พ.ย.2563 ซึ่งมาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้เข้าร่วมการประชุมในฐานะ 1ใน 21 เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค และไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเอเปคตั้งแต่ปื 2532

ที่ประชุมหารือ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การร่วมมือในระยะสั้นเพื่อควบคุมและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 และการร่วมมือในระยะยาวเพื่อวางกรอบการดำเนินงานของเอเปคในระยะ 20 ปีข้างหน้า หลังจากที่เป้าหมายโบกอร์ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานของเอเปคตั้งแต่ปี 2537 กำลังจะสิ้นสุดลงในปีนี้

พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำความสำคัญของการค้าและการลงทุนซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภูมิภาค และเสนอแนะ 3 ประเด็นที่เอเปคควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.ความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านดิจิทัล 2.การเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้รับประโยชน์ที่จับต้องได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และ 3.การสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (disruptions)

สำหรับประเด็นที่คนไทยได้อะไรจากการประชุมเอเปค ครั้งนี้ ประกอบด้วย การช่วยเหลือให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ MSMEs ได้รับข้อมูลอย่างทันท่วงทีเพื่อปรับตัวและวางแผนธุรกิจ โดยเอเปดได้เปิดตัวระบบฐานข้อมูล COVID-19 LIVE (Latest and Immediate Virtual Exchange) รวบรวมข้อมูลด้านนโยบายและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดในภูมิภาคเอเปค โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการส่งออก การเคลื่อนย้ายสินค้า นโยบายความมั่นคงทางอาหาร ผู้นำเอเปคยังเห็นพ้องกันที่จะให้ประชาชนข้าถึงเวชภัณฑ์ โดยจะร่วมมือกันเร่งรัดการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ นอกจากนี้ เอเปกได้ประกาศร่วมกันที่จะไม่ออกมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า และอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายของสินค้าจำเป็น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในช่วงโควิด-19

ในขณะเดียวกัน มีการพัฒนแอพพลิเคชั่นบนมือถือสำหรับผู้ถือบัตร APEC Business Travel Card เพื่อให้มีความปลอดภัย ตรวจสอบข้อมูลได้แบบ real-tme ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและเวลาตรวจสอบข้อมูล ทำให้การเดินทาของนักธุรกิจสะดวกรวดเร็วขึ้น การเจรจาการค้าและการลงทุนไม่ชะงักงัน ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ มีการเริ่มทำ travel bubble ระหว่างสมาชิกเอเปค โดยสิงคโปร์และฮ่องกงจะนำร่องจัดทำ travel bubble ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกยนที่นี้ สำหรับไทย ก็ได้เริ่มเปิดให้นักธุรกิจจาก 8 เขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิดโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง ใช้บัตร ABTC ในการเดินทางเข้าไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิและการท่องเที่ยวได้แล้ว

นายกรัฐมนตรี ยังได้ย้ำความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันกับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลป็นครื่องมือส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต และเข้าถึงตลาดโลก โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของคนให้ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลต่อเศรษฐกิจและบริการภาครัฐ การส่งเสริม e-commerce การให้ความรู้และพัฒนาศักยภาพของประชาชนอย่างเท่าเทียม และให้โลกดิจิทัลมีความมั่นคงปลอดภัย ที่สำคัญคือ การส่งเสริมบทบาทสตรีในระบบเศรษฐกิจ ทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด

ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพอเปคในปี 2565 หรืออีกประมาณ 1 ปีข้างหน้า หลังจากนิวซีแลนด์ที่จะเป็นเจ้าภาพในปี 2564 ที่จะถึงนี้

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้มีการรับรองเอกสารวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค ค.ศ. 2040 ซึ่งจะเป็นแผนการทำงานของเอเปคต่อไปในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งในรูปของภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี อันจะนำไปสู่การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคที่ประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของไทย

นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนกล่าวถึงความสำคัญของการเปิดตัววิสัยทัศน์ภายหลังปี 2020 ซึ่งจีนพร้อมร่วมสร้างอนาคตร่วมกัน โดยมีข้อเสนอ 4 ประการ ดังนี้

1.ต้องเปิดกว้างและทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการค้าพหุภาคี ผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยจีนยินดีกับการลงนาม RCEP ที่ผ่านมา

2.ผลักดันการเติบโตบนพื้นฐานการพัฒนาทางดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งส่งเสริมการค้าอิเล็กทรอนิกส์

3.ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันผ่าน APEC Connectivity Blueprint เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะการส่งเสริมการเดินทางของคน สินค้า เงินทุนและการส่งต่อข้อมูลอย่างปลอดภัย ซึ่งจีนยินดีที่จะให้ความร่วมมือผ่านโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 Belt and Road Initiative (BRI) กับทุกฝ่าย

4.ผลักดันความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านสาธารณสุข วัคซีน MSMEs ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการรับมือกับโควิด-19 ได้

ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เน้นย้ำว่าโลกกำลังต่อสู้กับโรคระบาดในขณะนี้ ซึ่งสหรัฐฯ ได้สนับสนุนทางเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ และยืนยันที่จะกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง โดยสหรัฐได้เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อการกลับมาอย่างมั่งคั่งอีกครั้งในภูมิภาค ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการจ้างงาน ส่งเสริมการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหา และลดผลกระทบ รวมถึงสร้างความมั่นใจในการบริโภค นอกจากนี้ยังได้เน้นนโยบายที่ส่งเสริมการเจริญเติบโต โดยได้ลดภาษีและตัดระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกรรม พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ต่อครัวเรือนให้มากขึ้น ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำว่า ขอให้ทุกประเทศสนับสนุนนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างโอกาสร่วมกันมากขึ้น ทั้งสหรัฐฯ และทั่วโลก