

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะนักวิจัยสหรัฐอเมริการายงานเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับสตรีมีครรภ์ อาจช่วยป้องกันทารกหลังคลอดจากการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19 จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมารดาได้รับการฉีดวัคซีนในระหว่างที่ตั้งครรภ์
ทั้งนี้ผลวิจัยบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีประโยชน์กับทารก ซึ่งยังอายุน้อยเกินไปที่จะฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ นักวิจัยจากโรงพยาบาลเด็กหลายแห่ง และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ได้ทำการตรวจสอบเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ระหว่างเดือน ก.ค. 2564-ม.ค. 2565
ผลวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากทารก 379 ราย ในโรงพยาบาล โดย 176 ราย ติดเชื้อโควิด-19 และ 203 ราย เข้ารับการรักษาตัวโดยโรคอื่น ๆ
นอกจากนี้ผลวิจัยพบว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิภาพโดยรวม 61% ในการป้องกันการเข้าโรงพยาบาลสำหรับบุตรที่มารดาฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์
ทั้งนี้ ประสิทธิภาพในการป้องกันเพิ่มขึ้นเป็น 80% เมื่อมารดาได้รับวัคซีนในช่วง 21 สัปดาห์จนถึง 14 วันก่อนคลอดแต่ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงเหลือ 32% ในการป้องกันทารกของมารดาที่ฉีดวัคซีนในช่วงเริ่มต้นตั้งครรภ์
“ขณะนี้ เราต้องการที่จะมั่นใจว่า เรากำลังปกป้องทั้งมารดาและทารก” ดานา มีนี-เดลแมนจาก CDC กล่าวกับผู้สื่อข่าว “ดังนั้น ทันทีที่สตรีมีครรภ์ตั้งใจที่จะฉีดวัคซีน เธอก็ควรเดินหน้าและทำเช่นนั้น”
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สตรีมีครรภ์มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19 และการติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างตั้งครรภ์นั้นเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตร, การคลอดก่อนกำหนด และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จากการตั้งครรภ์