

- การบินไทยตีปีก 9 เดือนแรก ปี’66 ทำกำไรดี1 6,342 ล้านบาทโกยรายได้ 115,897 ล้านบาท
- คาดปี’68 ทำรายได้แซงปี’62 ต้องเกิน 1.8 แสนล้านบาทเร่งทำ 2 เรื่อง “แปลงหนี้เป็นทุน-ออกหุ้นเพิ่มทุน”
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยการบินไทย ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,342 ล้านบาท ดีกว่าปีก่อนขาดทุน 11,237 ล้านบาท คาดเมื่อสิ้นสุดปี 2566 จะมีรายได้ 1.5 แสนล้านบาท และปี 2568 เป็นต้นไป จะทำรายได้เกินปี 2562 ก่อนเกิดโควิดเคยทำไว้ปีละ 1.8 แสนล้านบาท
เฉพาะ 9 เดือนปีนี้มี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 31,720 ล้านบาท มี “รายได้รวม” (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 115,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนทำไว้รวม 65,567 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 เคยทำได้ 1.8 แสนล้านบาท
ภาพรวม 9 เดือนแรกปีนี้ มี “ค่าใช้จ่ายรวม” (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 86,567 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนทำไว้ 66,115 ล้านบาท บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 29,330 ล้านบาท ดีกว่างวดเดียวกันกับปี 2565 ซึ่งขาดทุน 548 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2566 การบินไทยและบริษัทย่อย มี “รายได้รวม” (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น37,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 32,860 ล้านบาท หรือ 12.6% ให้บริการ ”ผู้โดยสารรวม” ทั้งสิ้น 3.27 ล้านคน โดยการบินไทย 2.19 ล้านคน และไทยสมายล์ 1.08 ล้านคน มี “อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร” (Cabin Factor) เฉลี่ย 77.3% แบ่งเป็น การบินไทย 77.1% และไทยสมายล์ 80.9% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนทำไว้เฉลี่ย 77.0%
มี “ค่าใช้จ่ายรวม” (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 29,289 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนทำไว้ 28,940 ล้านบาทเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 11,995 ล้านบาท คิดเป็น 41% ของค่าใช้จ่ายรวม) โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 7,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2565 เคยทำกำไรไว้ 3,920 ล้านบาท
นายปิยะสวัสดิ์ กล่าวว่า ยังมีความท้าทายในตลาดอีกหลายปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ส (SAS) กลับมาบินเข้าออกไทยอีกครั้ง รวมทั้งเอมิเรตส์ให้บริการเครื่องบินขนาดใหญ่แอร์บัส A380 ปัจจัยที่ 2 สถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง ปัจจัยที่ 3 ผู้โดยสารต่างประเทศที่ได้รับวีซ่า อย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน ยังไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่วนคาซัคสถานการบินไทยไม่ได้เปิดบิน ขณะที่อินเดียกับไต้หวันจะต้องดูผลอีกสักระยะ
ภารกิจหลักของการบินไทยที่จะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางได้ ตามกฎหมายระบุให้ทำตามเงื่อนไขภายในธันวาคม 2567 ให้ครบ 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 แปลงหนี้เป็นทุน เรื่องที่ 2 ออกหุ้นกู้เพิ่มทุน แต่การบินไทยก็จะต้องทำให้ผลประกอบการออกมาเป็นบวกในไตรมาส 3 ปี 2568 จึงจะเข้าเกณฑ์การออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
ควบคู่กับ “หาฝูงบินใหม่” เข้ามาเพิ่มจำนวนที่นั่งผู้โดยสารและเพิ่มเส้นทางบินตามเป้าหมาย ตอนนี้เดินหน้าแผนเช่าเครื่องบิน (Operating Leaste) ใช้แล้วมาบริการกำลังทยอยเข้าฝูงรวมทั้งหมด 26 ลำ แบ่งเป็น แอร์บัส A350 รวม 11 ลำ แอร์บัส A330 รวม 2 ลำ โบอิ้ง 787-9 รวม 1 ลำ แอร์บัส A320neo อีก 12 ลำ ในภาพรวมเริ่มส่งมอบแล้ว 3 ลำ กำลังทยอยส่งมอบอีก 23 ลำ ส่วนฝูงบินหลังรวมไทยสมายล์มาอยู่ภายใต้การบินไทยก็โอนเครื่องบินมาด้วย 20 ลำ

นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บมจ.การบินไทย กล่าวว่า สถานการณ์ผู้โดยสารตลาดต่างประเทศที่ได้รับวีซ่าฟรีตามนโยบายรัฐบาล เริ่มจาก สาธารณรัฐประชาชนจีนหลังรัฐบาลประกาศนโยบายวีซ่าฟรีมาระยะหนึ่งแล้วการบินไทยมีจำนวนที่นั่งให้บริการไป-กลับระหว่างไทย-จีน ประมาณ 40% ของปี 2562 ผู้โดยสารจีนยังใช้บริการไม่เต็ม ซึ่งตามแผนเตรียมจำนวนที่นั่งไว้สูงถึง 60% ตอนนี้คงต้องรอดูสถานการณ์ช่วงเทศกาลตรุษจีนต้นปี 2567 อีกครั้ง เพราะจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการโรงแรมช่วงธันวาคมนี้ยอดจองห้องพักล่วงหน้ายังไม่ได้ขยับเท่าไร
ส่วนผู้โดยสารตลาดอินเดีย การบินไทยเพิ่มจำนวนที่นั่งและความถี่ในเส้นทางบิน เดลี กับมุมใบ ขณะที่ตลาดอื่น ๆต้องการตลาดอย่างระมัดระวัง คาดการณ์การทำอัตราบรรทุกผู้โดยสารไตรมาส 4 เดือนตุลาคมจะอยู่ที่ 74-75% เดือนพฤศจิกายน 75% เดือนธันวาคม 80% ขึ้นไป
สำหรับแผนเปิดเที่ยวบินตรง ไป-กลับ กรุงเทพฯ-อิสตันบูล (ทูร์เคีย/ตุรกี) เริ่ม 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายจากเหตุการณ์สู้รบในอิสราเอล/ตะวันออกกลาง นั้น การบินไทยยังคงเดินหน้าทำตามแผนปกติ เนื่องจากต้องการใช้ศักยภาพของอิสตันบูลเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายผู้โดยสารแลกเปลี่ยนใน 3 ทวีป ได้แก่ยุโรป แอฟริกา เข้าเอเชีย แล้วใช้ไทยเป็นเกตเวย์กระจายผู้โดยสารดังกล่าวต่อไปยังตลาดอื่น ๆ ในเส้นทางบินแถบเอเชียเพิ่มขึ้นได้
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen