

- มีพฤติกรรมการใช้ก่อนออมสูงเกือบ 40%ของประชากร
- มีความรู้ด้านการเงินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเทียบประเทศอื่น
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวในงานเปิดตัวโครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้ พลังความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินสำหรับคนไทย” ว่า ขณะนี้สถานะการเงินของคนไทยอยู่ในสภาวะเปราะบาง วัดได้จากหนี้ครัวเรือนของไทยไตรมาส 2 ปี 2562 มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) อยู่ที่ 78.9% ซึ่งขณะนั้นอยู่ในระดับสูงแล้ว แต่ปัจจุบันหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 หนี้ครัวเรือนของไทยปรับตัวสูงขึ้นอีก โดยไตรมาส 3 ปี 2563 อยู่ที่ 86.6% ของจีดีพี
นอกจากนี้ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด และจากสถิติผู้สูงอายุของไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค.2563 มีจำนวนผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปรวม 11.6 ล้านคน คิดเป็น 17.6% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม เช่น การสนับสนุนให้เก็บออมเงินตั้งแต่ทำงานเพื่อใช้หลังเกษียณ เป็นต้น
ขณะที่จากการสำรวจผู้สูงอายุทั่วไทยเมื่อปี 2560 พบว่า ช่วงหลังเกษียณผู้สูงอายุประมาณ 34.7 % ยังต้องพึ่งพารายได้หลักจากบุตรหลาน ส่วนอีก 31% ยังคงต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง โดยมีเพียง 2.3 % เท่านั้นที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้จากเงินออม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยจำนวยไม่น้อยอาจมีความเสี่ยงต้องเผชิญภาวะเกษียณทุกข์ในอนาคต
ส่วนผลการสำรวจภาคการออมครัวเรือนไทย ไตรมาส 3 ปี 2561 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า 5.8 ล้านครัวเรือนไทย หรือ 27.1% ไม่มีเงินออมเลย ส่วนครัวเรือนที่มีการออมเงินอยู่ที่ 15.7 ล้านครัวเรือน หรือ 72.9% อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงวิธีการออมพบว่า คนไทย 38.9% มีพฤติกรรมใช้เงินก่อนออม คนไทย 38.5% มีการออมไม่สม่ำเสมอ และที่เหลือ 22.6% มีพฤติกรรมออมก่อนใช้
ขณะที่ผลสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทย ที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตามแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือโออีซีดี โดยองค์ประกอบ 3 ด้านคือ 1.ความรู้ด้านการเงิน 2.พฤติกรรมทางการเงิน และ3.ทัศนคติทางการเงิน
ทั้งนี้จากผลสำรวจพบว่า คะแนนด้านความรู้ทางการเงินของคนไทยต่ำมากกว่าด้านอื่น และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ ซึ่งเป็นปัญหาจากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเรื่องนี้จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ปี 2560-2564 ได้วางแนวทางโดยมียุทธศาสตร์ คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการเสริมสร้างศักยภาพชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชม และ การสร้างความเข้มแข็งการเงินฐานรากตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้ชุมชุนสามารถพึ่งพาตนเองได้
“โครงการแฮปปี้มันนี่สุขเงินสร้างได้พลังความร่วมมือเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินสำหรับคนไทยจึงเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม เพราะการฟื้นฟูเศรษฐกิจจะต้องทำควบคู่กับการสร้างศักยภาพของประชาชน รวมทั้งต้องเร่งร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลในวงกว้างและรวดเร็วได้ ซึ่งการร่วมมือดังกล่าวเป็นจุดเริ่มผลักดันให้ภารกิจการส่งต่อความรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาตลาดทุนที่กระทรวงการคลังสนับสนุน”