นายกฯสั่งเข้มตรวจนำเข้าสินค้าเถื่อน “ศุลกากร” ลั่น! เด้งรับนโยบาย



นายกฯเศรษฐา สั่งศุลกากรตรวจเข้มการนำเข้าสินค้าเถื่อน เข้าข่ายเป็นสินค้านโยบาย โดยเฉพาะกลุ่มเนื้อสัตว์ ลั่นพบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องฟันไม่เลี้ยง

  • พร้อมตรวจเข้มสินค้าที่นำเข้าจากแนวชายแดน หรือช่องทางธรรมชาติ
  • เผยศุลกากรจะดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้า โทษสูงสุดตามกฎหมายศุลกากรปรับ 4 เท่าของราคาของบวกอากร จำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
  • ชี้นายกฯ สั่งเร่งรัดติดตามการดำเนินคดี-ยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิด และผู้สนับสนุน

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้มอบหมายให้กรมฯ เข้มงวดการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้านโยบาย ซึ่งกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยนอกจากสินค้าสุกร (หมู) ที่มีการลักลอบนำเข้าจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าเกษตร อาทิ หอม กระเทียม สินค้าที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่างๆ สินค้าประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อกระบือ เป็นต้น ที่มีการลักลอบนเข้ามา

“ขณะนี้ได้สั่งการให้ทุกด่านศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดตรวจสินค้าตามนโยบายที่คาดว่า จะมีการลักลอบนำเข้ามาตามฤดูกาลต่างๆ เช่น สินค้าเกษตร สินค้าประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ รวมถึงยาเสพติด โดยนอกจากตรวจเข้มสินค้าที่นำเข้าจากตะเข็บชายแดน หรือช่องทางธรรมชาติแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการสำแดงสินค้าที่เป็นอย่างอื่นด้วย” 

นายพันธ์ทอง กล่าวด้วยว่า สืบเนื่องจากกรณีกรมศลกากรจับกุมสินค้าหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าจำนวนมากถึง 161 ตู้นับจากนี้ทางกรมฯ จะตรวจเข้มการนำเข้าสินค้าหมูให้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มากับตู้แช่แข็ง ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าแต่ละปีจะมีสินค้านำเข้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากถึง 10 ล้านตู้ ซึ่งทางกรมฯ ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมดหรือตรวจสอบได้แค่ 10% โดยจากนี้ไปจะตรวจสอบให้มากขึ้น สำหรับปัจจุบัน ทางกรมฯ ยังไม่พบการนำเข้าสินค้าหมูเถื่อนแบบมาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ แต่มีการจับกุมการนำเข้าแบบไม่มากตามแนวชายแดน เช่น มากับรถกระบะ โดยปะปนมากับสินค้าประเภทอื่น

นายพันธ์ทอง กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินการทำลายชิ้นส่วนหมูจำนวน 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้นหลังจากที่กรมฯ ได้ส่งมอบตู้สินค้าประเภทซากหมูของตกค้าง และของกลางในคดีพิเศษ ที่ 59/2023 จำนวน 161 ตู้ไปทำลายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้รับรายงานว่า ขณะนี้เริ่มมีการทำลายไปแล้วจำนวน 21 ตู้ 

ขณะเดียวกัน กรมฯให้ความร่วมมือและประสานงานร่วมกับ DSI และกรมปศุสัตว์ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ จนกว่าการทำลายของกลางฯ จะสิ้นสุดลง รวมถึงกระบวนการตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามระเบียบของทางกรมฯ ต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับสถิติการจับกุมการนำเข้าหมูเถื่อนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า มียอดจับกุมได้เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าตัว โดยในปีงบประมาณ 2564 มีการจับกุม 14 ราย น้ำหนักกว่า 2.36 แสนกิโลกรัม ปีงบประมาณ 2565 มีการจับกุม 25 ราย น้ำหนักรวมกว่า 4.31 แสนกิโลกรัม และปีงบประมาณ 2566 มีการจับกุม 181 ราย น้ำหนักกว่า 4.77 ล้านกิโลกรัม โดยเนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้าส่วนใหญ่มาจากอเมริกาใต้ เช่น อาร์เจนติน่า และบราซิล ซึ่งมีต้นทุนอาหารสัตว์ที่ถูกกว่าไทย

“กรมศุลกากรจะดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อหมู โดยจะไม่มีการระงับคดีในชั้นศุลกากร ซึ่งหมายความว่า จะต้องดำเนินคดีในชั้นศาลทุกราย โดยโทษสูงสุดตามกฎหมายศุลกากรคือ ปรับ 4 เท่าของราคาของบวกอากร และจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี”

นายพันธ์ทอง กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการลักลอบการนำเข้าเนื้อสัตว์ ซึ่งประกอบด้วย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนกรมศุลกากร โดยนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กรมศุลกากรมีมาตรการในการควบคุมอย่างเคร่งครัดในการเข้มงวด กวดขัน การลักลอบ/หลีกเลี่ยง นำเข้าเนื้อสุกร เนื้อโค เนื้อกระบือ จากต่างประเทศในทุกช่องทาง

รวมถึงยังให้เร่งรัดติดตามการดำเนินคดี/ยึดทรัพย์ ผู้กระทำความผิดและผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และหากมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการทั้งในด้านวินัยและคดีอาญาให้ถึงที่สุด โดยตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อเร่งรัดและตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องนี้ขึ้น โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอึกด้วย