ททท.เร่งครึ่งหลังปี’66 เที่ยวภาคตะวันออกทำเงิน 3 กิจกรรม ปี’67 ปั้นจุดขาย “กินฟินเที่ยวเต็มเหนี่ยวสายมูเรียนรู้รัก(ษ์)”



  • ททท.รุกครึ่งปีหลังเที่ยวภาคตะวันออกใส่เกียร์ทำเงิน 3 กิจกรรม
  • เปิดเที่ยวหน้าฝน 9 จังหวัด/ชูขายอาหารทะเล/โหมเที่ยวเชิงผจญภัย
  • “ชลบุรี” โกยเงินแล้วกว่า 1.16 แสนล้าน ปี’67 ตั้งเป้าโต 8-15% ชูธีมยืนหนึ่งเรื่องกิน-ฟินเรื่องเทียว-เต็มเหนี่ยวสายมู-เรียนรู้เรื่องรัก(ษ์)

นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าวางแผนครึ่งปีหลังตั้งแต่มิถุนายน-ธันวาคม 2566 เตรียมเพิ่มรายได้เข้าพื้นที่ส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบ 9 จังหวัด ได้เร่งขับเคลื่อนไฮไลต์ด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 เปิดท่องเที่ยวหน้าฝน18 เส้นทาง เริ่มกรกฎาคม-กันยายน จะชวนเที่ยวแหล่งสายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำและธรรมชาติเขียวขจี บวกกับอาหารถิ่นกิจกรรมที่ 2 การท่องเที่ยวอาหารทะเล หนึ่งในพลัง Soft Power ช่วงเดือนตุลาคม 2566 และ กิจกรรมที่ 3 การท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ตามพื้นที่ยอดนิยมทั้งธรรมชาติป่าเขาและหาดทรายชายทะเล ซึ่งมีให้เลือกอย่างหลากหลายทั่วทั้งภาค

ตั้งเป้าเจาะตลาดหลัก “ครอบครัวคนรุ่นใหม่” และได้หารือกับทางสายการบิน แอร์เอเชีย ไลออนแอร์ เพื่อเพิ่มตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางข้ามจากภาคอื่น ๆ มาลงยังสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ชลบุรี เพิ่มมากขึ้นและจะคึกคักมากขึ้นช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี 2566

หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ททท.ภูมิภาคตะวันออก สามารถฟื้นฟูตลาดดึงดูดรายได้กลับมายังพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมช่วงครึ่งปีแรก มกราคม-ต้นเดือนมิถุนายน 2566 เข้าสู่ 5 จังหวัดแรก ได้แก่

อันดับ 1 ชลบุรี ทำรายได้รวมกว่า 116,000 ล้านบาท จากคนไทยเที่ยวในประเทศได้แล้ว กว่า 10,000 ล้านบาท และต่างชาติประมาณ 106,000 ล้านบาท หลัก ๆ จะมาจากตลาดต่างประเทศ ผนวกกับแหล่งท่องเที่ยวมีความหลากหลายโรงแรมที่พักทันสมัย มีราคาให้เลือกตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่นบาทต่อห้องต่อคืน อันดับ 2 ระยอง รายได้จากคนไทย 12,643 ล้านบาท ต่างชาติ 7,572 ล้านบาท อันดับ 3 นครนายก อันดับ 4 ตราด อันดับ 5 จันทบุรี มีรายได้จากต่างชาติ 750 ล้านบาท

โดยมีการจัดกิจกรรม Low Carbon โครงการ “อีโค สงาด ตราด เฟสต์” จะจัดระหว่าง 7-9 กรกฎาคม 2566 ที่จังหวัดตราด เตรียมนำเสนอเกี่ยวกับการท่องเที่ยวลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจะทำโครงการ ซีรีย์วายเดือนสิงหาคม 2566

ส่วนแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวโดยใช้ 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการที่ 1 The Link เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากภาคตะวันออก ตราด-น่าน (ภาคเหนือ) จันทบุรี-นครราชสีมา (ภาคอีสาน) ชลบุรี-อุดรธานี (ภาคอีสาน) ระยอง-พระนครศรีอยุธยา (ภาคกลาง) และ นครนายก-สมุทรสงคราม (ภาคกลาง)

โครงการที่ 2 ท่องเที่ยวเมืองรอง เพิ่มรายได้และจำนวนคนเดินทางเข้าสู่ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยน้อยกว่าจังหวัดอื่น ๆ เร่งจัดการท่องเที่ยวรถไฟโดยได้นำหัวจักรรถไฟโบราณมาจัดทริปตามแหล่งท่องเที่ยวส่วนทาง นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว และตราด ก็จะเร่งจัดการท่องเที่ยวหน้าฝน รวมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย เรื่อยไปจนถึงการคัดเลือกเส้นทางท่องเที่ยว STGs :Sustainable Tourism Goals เพื่อเพิ่มฐานรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพเป็นเทรนด์ตลาดไร้พรมแดนจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทย

ผอ.อัครวิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ ททท.ภาคตะวันออก กำลังประเมินแผน “ความเสี่ยง” เพื่อให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเอกชนทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน ถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองปัจจุบัน หากทุกอย่างเรียบร้อยจัดตั้งรัฐบาลได้ตามกำหนดการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามแผน ททท.ก็พร้อมเดินหน้าลุยทำโครงการกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากยังต้องรอความชัดเจน ททท.ก็มีความจำเป็นจะต้องวางแผนที่จะนำงบประมาณไปร่วมทำกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงต้องเตรียมการใหม่เพื่อปรับแผนหรือให้ความช่วยเหลือหารือกันทางด้านใดได้บ้าง เพื่อให้การท่องเที่ยวของภาคตะวันออกขับเคลื่อนต่อไปอย่างราบรื่นปีหน้า

ขณะนี้ได้จัดทำแผนการตลาดประจำปี 2567 โดยภาพรวมจะเพิ่มอัตราการเติบโตจากปีนี้ประมาณ 8-15 % ในส่วนของภาคตะวันออก จะชูธีมขายท่องเที่ยวตามคอนเซ็ปต์อย่างชัดเจนคือ “ยืนหนึ่งเรื่องกิน สุดฟินเรื่องเที่ยว เต็มเหนี่ยวสายมู เรียนรู้เรื่องรัก(ษ์)” ซึ่งบ่งบอกถึงอัตลักษณ์สินค้าของภาคตะวันออกอย่างชัดเจน โดยเน้นนำเสนอแต่ละเรื่องธีมเพื่อสร้างแรงจูงใจตลาดในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย

ธีมแรก “ยืนหนึ่งเรื่องกิน” ด้วยพลังซอฟท์ เพาเวอร์ Food/อาหาร มุ่งลงลึกไปถึงแหล่งเพาะปลูก ธรรมชาติ วัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารถิ่นแต่ละเมนูซึ่งจะบ่งบอกถึงความน่าสนใจวิถีการกินอันหลากหลายมีวัฒนธรรม

ธีมที่ 2 “สุดฟินเรื่องเที่ยว” ภาคตะวันออกมีจุดแข็งเกี่ยวกับการเดินทางอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มีโรงแรมที่พักให้เลือกหลากหลายและการลงทุนใหม่ ๆ ตั้งแต่โฮมสตย์เรื่อยไปจนถึงโรงแรมหรูหรา ทั้งบนฝั่งและบนเกาะกลางทะเล

ธีมที่ 3 “เต็มเหนี่ยวสายมู” ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ระยอง ชลบุรี แต่ละจังหวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกจริต เป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตมีความหวัง เที่ยวไป มูไป อิ่มใจ ได้บุญ แต่ละแห่งจะเต็มไปสตอรี่เรื่องราวความน่าสนใจเมื่อได้อ่านหรือศึกษาแล้วเพิ่มพลังใจแห่งศรัทธา เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวสายมูเตลูและสายศรัทธามากที่สุด

ธีมที่ 4 เรียนรู้เรื่องรัก (ษ์) ร่วมเที่ยวช่วยโลก เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนควรจะร่วมมือกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible Tourism ทั้งการท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวเรียนรู้ต่อยอดให้ครอบครัว ได้ร่วมทำตามของ ททท.ซึ่งตั้งเป้าหมายจะยกระดับเส้นทางท่องเที่ยวทั่วภาคตะวันออกให้เป็นจุดปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนให้สำเร็จภายในปี 2570 หรือ Eastern Thailand The Destination for Sustainable Tourism 2027

นักท่องเที่ยวที่มีเวลาว่างหรือต้องการเดินทางในแต่ละรูปแบบเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง ทำงาน การเลือกพื้นที่ภาคตะวันออกตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการได้เป็นอย่างดี

ปี 2567 ตั้งเป้า 2 เพิ่ม ได้แก่ เพิ่มแรก “ความถี่การเดินทางท่องเที่ยว” โดยใช้สินค้าหลักคืออาหารกับไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y กับกลุ่มผู้ที่หลงรักการกินอาหารหรือ Food Lover เพิ่มที่ 2 “ค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริป จะนำเสนอขายสินค้ามูลค่าสูงอย่าง การท่องเที่ยวเชิงกีฬา เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เพื่อเจาะกลุ่ม ครอบครัวคนรุ่นใหม่/Millenial Family และผู้ที่หลงรักการท่องเที่ยวเชิงกีฬา หรือ Sport Lover

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, wwww.facebook.com/penroongyaisamsaen