

- ผู้นำ ททท.ชี้มุมบวกเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ต่างชาติ 300 บาท ตาม พรบ.ท่องเที่ยวแห่งชาติ เริ่มปี’66
- ไทยพร้อมคืนประโยชน์สูงสุดนักท่องเที่ยวทั่วโลก 10 ล้านคน
- เปิดแผนรุกตลาดต่างประเทศ คัดเอกชนร่วมเทรดและโรดโชว์ ต.ค.-ธ.ค.นี้ 3 งานใหญ่
- “ITB Asia สิงคโปร์-TTG อิตาลี-WTMลอนดอน ส่วน“ในประเทศ”
- ปลุกพลังขายทำเงิน 3 เทศกาล “ลอยกระทง-เคาน์ดาวน์-ไหว้ครูมวยไทย”
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เร่งสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติ (พรบ.) นโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ ตามนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยววและกีฬาทำความชัดเจน 1.เก็บจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.นำมาใช้ดูแลนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าไทยซึ่งแต่ละปีมีเกือบ 10 ล้านคน มีบางส่วนเมื่อประสบอุบัติเหตุแล้วประกันภัยไม่ครอบคลุม ได้รับการร้องขอจากทางสถานฑูตเช่นกันว่าไม่มีกำลังเพียงพอจะดูแลนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว 3.ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มอบหมายให้สถาบันการศึกษาหาวิธีจัดเก็บรวมทั้งจำนวนที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้เดินทางอย่างแน่นอน

ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดเก็บอัตรา 300 บาท/คน จะเริ่มช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นไปโดยเมื่อข้อมูลแล้วเสร็จมีรายละเอียดชัดเจนคือ 1.เก็บนักเดินทางกลุ่มใด 2.วิธีเก็บจะรวมอยู่ในตั๋วโดยสารเครื่องบิน หรือลงเครื่องแล้วนำส่งเงินเข้ากองทุนของรัฐ แล้วเงินที่จัดเก็บจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะใช้ทั้งดูแลด้านความปลอดภัย และพัฒนาบริการเพื่อเป็นหลักประกันถึงทุกจุดที่นักท่องเที่ยวผ่านเข้าออกจะได้รับความสะดวก ตัวอย่างใน “ญี่ปุ่น” ก็จัดเก็บเงินขาออกประเทศโดยใช้ชื่อ “ซาโยนาระแท็กซ์” ดังนั้นไทยจึงไม่ใช่ประเทศแรกที่จะทำ ตอนนี้ ททท.จะทำความเข้าใจกับแต่ละฝ่ายนั่นคือ เงินเหล่านี้จะจัดเก็บจากนักท่องเที่ยวแล้วก็นำไปคืนประโยชน์ให้นักท่องเที่ยวนั่นเอง
ส่วนบทบาทหน้าที่ของ ททท.จะทำ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ทำความเข้าใจกับนักเดินทางในฐานะองค์กรดูแลด้านการตลาดถึงว่าเงินที่เงินนี้จะนำมาใช้สร้างประโยชน์ให้แก่นักท่องเที่ยว อาจจะไม่ใช่ทางตรง แต่จะเป็นในลักษณะนำไปใช้ดูแลด้านความปลอดภัย ส่วนที่ 2 ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว หากเน้นการนำเข้านักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น ถึงประโยชน์โดยไม่ได้เป็นภาระและไม่ได้เป็นต้นทุน

ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ปลายปี 2565 ททท.วางกลยุทธ์เน้นนำเอกชนเดินทางไปทำตลาดตามรูปแบบจะเน้นการเจรจาธุรกิจ B to B :business to business เป็นหลักเพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวเข้าไทยช่วงต้นปี 2566 เตรียมบุกขายระดับอินเตอร์ 3 งาน ได้แก่
งานแรก “ITB ASIA 2022” ระหว่าง 19-21 ตุลาคม 2565 ที่สิงคโปร์ เป็นตลาดระยะใกล้ ได้ให้นโยบายทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดทำเต็มรูปแบบ ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นแล้ว ททท.ต้องเลือกนำผู้ประกอบการไปได้จำนวนน้อยลง งานที่สอง TTG ระหว่าง 12-14 ตุลาคม 2565 ที่อิตาลี เป็นงานจับคู่เจรจาธุรกิจ งานที่สาม WTM :World Travel Mart 2022 ระหว่าง 7-9 พฤศจิกายน 2565 เป็นอีกงานใหญ่ระดับโลกของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ททท.ตั้งเป้าทั้ง 3 งาน จะต้องการนำผู้ประกอบการไปพบปะคู่ค้ากันซึ่งหน้าเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวตลาดแต่ละประเทศอัพเดทสินค้าใหม่ ๆ เพื่อวางแผนส่งเสริมการขายปีต่อไป และเดินหน้าสื่อสารนโยบายรัฐบาลถึงการมุ่งมั่นเจาะตลาดคุณภาพเข้าเมืองไทย โดยชูจุดขายโดดเด่นถึงนโยบายรัฐบาลซึ่งประกาศปีท่องเที่ยวไทย Visit Thailand Year 2022-2023 ด้วย Amazing New Chapters เป็นธีมหลัก ไม่เฉพาะเรื่องธีมเท่านั้นหากจะต้องนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวอย่างชัดเจน เพื่อตอกย้ำให้เห็นนโยบายของรัฐในการประกาศเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง

ได้จัดทำสินค้าท่องเที่ยวเน้นจุดขาย “เมนูประสบการณ์” แทนโปรดักซ์แคตาล็อก พร้อมกับมีสินค้าหลากหลายตั้งแต่A to Z Thailand has it All มีครบทุกอย่าง ตัวอย่างสินค้า Z ทำเรื่อง Zero Food Waste เน้นย้ำการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสังคม
ผู้ว่าฯ ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า จะเร่งเพิ่มโอกาสจากตลาดสำคัญ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ลูกค้าเก่าของไทย โดยย้ำถึงประเทศไทยเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ภายใต้ข้อจำกัด ส่วนที่ 2 กลุ่มเดินทางได้ก่อนใคร First Mover พุ่งเป้าไปยังตลาดระยะใกล้ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอื่น ๆ
รวมทั้งจะกระตุ้นนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินเพิ่ม 2 เรื่อง เรื่องแรก นำเสนอโปรดักซ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ เล็งให้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น นักท่องเที่ยวเดินทางเพื่อสุขภาพองค์รวม ซึ่งโลกยุคใหม่หันมาให้ความใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จากตัวเลขที่ผ่านมากลุ่มนี้เดินทางเข้ามาแล้วใช้จ่ายเงินสูงกว่านักท่องเที่ยวปกติ 2 เท่า เรื่องที่สอง ทำให้นักท่องเที่ยวพักค้างอยู่ในไทยนานวันมากขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งทางศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (ศบค.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแล้ว ทาง ศบค.จึงมีมติให้ขยายวีซ่าต่างชาติ 1.วีซ่านักท่องเที่ยวทั่วไปพำนักในไทยได้ครั้งละ 45 วันแทนของเดิม 30 วัน และขยายวีซ่า VOA :Visa On Arrival เพิ่มเป็น 30 วัน จากปกติ 15 วัน
ขณะเดียวกันได้ประเมินสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวระหว่างกันยายน-ธันวาคม 2565 ข้อมูล “ตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทย” ระหว่างมกราคม-สิงหาคม 2565 ทำได้แล้วกว่า 4.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 35 % ของสถานการณ์ปกติปี 2562 ตอนนั้นคนเดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยเดือนละ 3 ล้านคน ส่งผลให้การคำนวณระหว่างมกราคม-กันยายนนี้ จะมีต่างชาติเที่ยวไทยรวมถึง 5.5 ล้านคน
โค้งสุดท้ายเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือไฮซีซันสามารถนำเข้าได้อีกเดือนละ 1.5 ล้านคนควบคู่กับการผลักดันสายการบินเพิ่มจำนวนที่นั่งเที่ยวบินเข้าไทยให้ถึง 50 % เมื่อรวมจำนวน 9 เดือนแรก มกราคม-กันยายน ได้ 5.5 ล้านคน + ตุลาคม-ธันวาคมนี้อีก 4.5 ล้านคน ผลลัพธ์รวมตลอดปี 2565 จะเข้าเป้าตามนโยบายนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคือไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน
สำหรับ “ตลาดในประเทศ” เมื่อโครงการ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ต่อขยาย”สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2565 ตอนนี้เหลือห้องให้จองเพียง 20,000 ห้อง ททท.จะขยายผลต่อเนื่องโดยใช้เงินงบประมาณบู๊สเตอร์จากรัฐบาลบวกกับเงินงบประมาณของ ททท.ต้นปี 2566 จะสร้างกระแสการเดินทางเพิ่มขึ้นให้เป็นตามเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้ง

ททท.เตรียมบุกตลาดในประเทศเชิงรุก 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรก ลดต้นทุนการเดินทาง กำลังหารือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้สิทธิประโยชน์ไปยังนักท่องเที่ยวโดยตรง เรื่องที่ 2 เพิ่มจำนวนวันพักค้างคืนมากขึ้น ผลักดันอัตราการเข้าพักโรงแรมทั่วประเทศเฉลี่ย (OR) ทำได้ไม่น้อยกว่า 55 %
ผู้ว่าฯ ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ไฮไลต์ปลายปีนี้ จะชูขายท่องเที่ยว 3 เทศกาลหลัก ได้แก่ 1.ลอยกระทง พยายามยกระดับเป็นเทศกาลระดับภูมิภาคหรือประเทศมากขึ้น 2.ททท.ร่วมกับเอกชนจัดมหกรรมเคาน์ดาวน์ ส่งท้ายปี 3.เทศกาลไหว้ครูมวยไทยช่วงต้นปี 2566 โดยจะรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันใช้ช่วงเทศกาลเดินทางหนาแน่น “พลิกโฉมประเทศ พลิกโฉมท่องเที่ยว” เพื่อไม่ให้กลับไปเหมือนเดิม หันมาร่วมมือกันท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อชุมชนรวมถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้ได้ในเร็ววันนี้
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza,www.facebook.com/penroongyaisamsaen