

- ตลาดวิตกถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดการล็อกดาวน์ในหลายรัฐ
- เมซีส์ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ รายงานตัวเลขยอดขายดิ่งลงมากกว่า 20%
- นักลงทุนติดตามความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19
เมื่อเวลา 22.20 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวผันผวน ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับลดลงเป็นวันที่ 3 คลื่อนไหวที่ระดับ 29,349.48 จุด ลดลง 88.94 จุด หรือ-0.30% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,823.08 จุด เพิ่มขึ้น +21.48 จุด หรือ +0.18% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,558.98 จุด ลดลง 8.81 จุด หรือ-0.25%
ตลาดกังวลตัวเลขคนว่างงานที่กลับมาสูงกว่าคาดอีอกครั้ง ท่ามกลางความวิตกถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดการล็อกดาวน์ในหลายรัฐ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 742,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 710,000 ราย โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 709,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 429,000 ราย สู่ระดับ 6.37 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ รายงานตัวเลขยอดขายดิ่งลงมากกว่า 20% ในไตรมาส 3 ขณะที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าของวัคซีน โดยไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี เผยว่า จะยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนดังกล่าวต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในอีกไม่กี่วันนี้ หลังจากที่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นสุดท้ายบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั้งสองบริษัทพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพ 95% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยบริษัทคาดว่าจะผลิตวัคซีนจำนวน 50 ล้านโดสในปีนี้ และ 1,300 ล้านโดสในปีหน้า
เช่นเดียวกับ บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ แถลงว่า ผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟสที่ 3 พบว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 94.5% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19
นอกจากนั้น นายแพทริก สเปนเซอร์ รองประธานของวาณิชธนกิจไบรด์ กล่าวกล่าวในรายการ Street Signs Europe ของสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 40,000 จุดในปีหน้า โดยขณะนี้ยังคงมีเงินจำนวนมากรอเข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีเงินทุนมากถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์พักอยู่ในบัญชีตลาดเงิน โดยส่วนหนึ่งเป็นเงินสด และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
“เราได้พูดคุยกันในบริษัทว่าดาวโจนส์อาจแตะ 40,000 จุดในปีหน้า เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ประกอบด้วยหุ้น value มากกว่าหุ้น growth โดยหุ้น value จะปรับตัวโดดเด่นขึ้น และหุ้น growth จะปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพ”