

- นักลงทุนกังวลหลังวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมาย “Holding Foreign Companies Accountable Act”
- บริษัทสัญชาติจีนในตลาดหุ้นสหรัฐหนาว มีสิทธิถูกถอดออกจากตลาด
- ตลาดแรงงานสหรัฐยังไม่ดี ยอดคนตกงานพุ่ง 36.8 ล้านราย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 21 พ.ค.ที่ 24,474.12 จุด ลดลง 101.78 จุด หรือ -0.41% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 9,284.88 จุด ลดลง 90.90 จุด หรือ -0.97% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,948.51 จุด ลดลง 23.10 จุด หรือ -0.78%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านร่างกฎหมาย “Holding Foreign Companies Accountable Act” ซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอาจทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวอเมริกันได้ในอนาคต
ร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดว่า บริษัทสัญชาติจีนที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น จะต้องไม่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลต่างชาติ นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติจีนจะต้องยื่นรายงานด้านการเงินเพื่อให้คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ทำการตรวจสอบบัญชีด้วย
ข่าวดังกล่าวได้ฉุดราคาหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งรวมถึงหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง และหุ้น JD.com ปิดตลาดร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยหุ้นอาลีบาบา ร่วงลง 2.14% หุ้น JD.com ดิ่งลง 3.2% หุ้นยัม ไชน่า โฮลดิ้ง ร่วงลง 4% หุ้นแซดทีโอ เอ็กซ์เพรส ทรุดตัวลง 5.5%
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังออกมาระบุว่า จะตอบโต้จีนอย่างรุนแรงหากจีนออกกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงเพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.74% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.03% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 4.87% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ร่วงลง 1.2%
ขณะที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 2.5% หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 2.05% หุ้นอินเทล ลดลง 1.7% หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.75% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวลง 1.2%
หุ้นเบสท์บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเลคทรอนิคส์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 4.37% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาสแรกลดลงสู่จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นักลงทุนกังวลสถานการณ์ด้านแรงงาน และเศรษฐกิจ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 2.44 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.40 ล้านราย ทำให้ยอดคนตกงานรวมเพิ่มขึ้นเป็น 38.6 ล้านรายนับตั้งแต่เผชิญวิกฤตโควิด-19
ขณะที่ Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ร่วงลง 4.4% แตะระดับ 98.8 ในเดือนเม.ย. หลังจากดิ่งลง 6.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดในรอบ 60 ปี
อย่างไรก็ตาม ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 36.4 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 27.0 ในเดือนเม.ย.ผลจากการเตรียมความพร้อมที่จะมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ เปิดกิจกรรมด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น