

.บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในสัปดาห์นี้
.นักวิเคราะห์คาดหุ้นส่วนใหญ่จะแสดงการขยายตัวของผลประกอบการรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
.ตลาดจับตาตัวเลขเงินเฟ้อและการส่งสัญญาณนโยบายการเงินของประธานเฟดต่อรัฐสภา
เมื่อเวลา 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,978.41 จุด เพิ่มขึ้น 108.25 จุด +0.31% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,715.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.36 จุด หรือ +0.09% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,379.16 จุด เพิ่มขึ้น 9.61 จุด หรือ +0.22%
ขณะที่นักลงทุนจับตากการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ โดยคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะออกมาสดใสขานรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่จะเริ่มรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีกำไรในไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 65% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2552 ทั้งนี้ บริษัทจำนวน 66 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้ออกรายงานคาดการณ์ผลประกอบการที่เป็นบวกในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่บริษัท FactSet ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังคาดว่าหุ้นทั้ง 11 กลุ่มในตลาดจะมีการขยายตัวของผลประกอบการ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน อุตสาหกรรม และการเงิน ขานรับการเปิดเศรษฐกิจใหม่ หลังจากที่มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ตลาดยังจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อรัฐสภาในสัปดาห์นี้ รวมทั้ง การเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ในวันอังคารและวันพุธตามลำดับ รวมทั้งยอดค้าปลีกในวันศุกร์
นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรส ซึ่งจะมีาการสัญญาณถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยเขาจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 14 ก.ค.เวลา 12.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.00 น.ตามเวลาไทย และต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 15 ก.ค.เวลา 09.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.30 น.ตามเวลาไทย
นอกจากนั้น เขาอาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากที่รายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนมิ.ย.ระบุว่า กรรมการเฟดได้เริ่มหารือกันเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดวงเงิน QE พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าเดิมถึง 1 ปี และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีดังกล่าว