

.ตลาดจับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์มองตัวเงินเฟ้อก.ค.ดีดต่อเนื่อง
.นักลงทุนขายหุ้นทำกำไร ลดความเสี่ยง ห่วงเฟดลด QE ขึ้นดอกเบี้ย
.หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ตามการทรุดตัวของราคาน้ำมัน ขณะที่ดัชนีแนสแด็กปรับขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเวลา 22.00น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,109.62 จุด ลดลง 98.89 จุด หรือ -0.28% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,854.99 จุด เพิ่มขึ้น 19.22 จุด หรือ +0.13% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,428.69 จุด ลดลง 7.83 จุด หรือ -0.18%
ตัวเลขเศรษฐกิจมีทิศทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ซึ่งเป็นตัวเลขหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐจับตาในการดำเนินนโยบายการเงิน พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน พุ่งขึ้น 590,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 10.1 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.7 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. จากระดับ 6.0 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. Ggpอัตราการจ้างงานอยู่เพิ่มขึ้้น 4.6% ในเดือนมิ.ย. ส่วนตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.9 ล้านตำแหน่ง โดยอัตราการลาออกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.7%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 5.0% ในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ หากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในปีีนี้ รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ทำให้มีแรงขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง และทำกำไรในตัวที่ราคาขึ้นไปก่อนหน้า
ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ท่ามกลางการทรุดตัวของราคาน้ำมัน หลังจากที่องค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน ขณะที่ภาวะโลกร้อนกำลังใกล้เข้าสู่ระดับวิกฤต