

- นักลงทุนคาดผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการลงทุน-การค้าในจีนปรับตัวดีขึ้น
- ผลการศึกษาชี้การใช้ยา remdesivir ของ Gilead Sciences ออกมามีผลที่ดี
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผย คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสแรกหดตัวลง 4.8%
เมื่อเวลา 21.30 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 24,574.71 จุด บวกเพิ่มขึ้น473.16 จุด หรือ +1.96% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 8,868.85 จุด เพิ่มขึ้น 261.12 จุด หรือ +3.03% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 2,929.96 จุด เพิ่มขึ้น 66.57 จุด หรือ +2.32%
นักลงทุนประเมินภาพผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการลงทุน และการค้าในจีน จะปรับตัวดีขึ้น หลังเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 ในจีนเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี และเริ่มเปิดเศรษฐกิจการค้าอีกครั้ง โดยมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับระดับโลกได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะโตขึ้น 1% ในปีนี้ และเด้งขึ้น 7.1% ในปีหน้า
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากโอกาสที่จะมียาที่เหมาะสมในการรักษาโควิด-19 ที่มากขึ้น โดยผลการศึกษาการใช้ยา remdesivir ของ บริษัท Gilead Sciences ที่ร่วมกับสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ มีผลการรักษาเป็นไปตามเป้าหมายในเบื้องต้น ผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีอาการดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2563 ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผย ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 4.8% ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัว 3.5% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP ติดลบ นับตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 และเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจหดตัว 8.4% ในไตรมาส 4/2551 ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
ขณะที่บริษัทยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก้ เบลล์ รายงานกำไรและยอดขายดิ่งลงในไตรมาสแรก โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ร้านสาขาของบริษัทต้องปิดทำการ ขณะที่บางแห่งถูกจำกัดให้บริการประเภทเดลิเวอรี่เท่านั้น