

.การซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวแคบ แต่ดาวโจนส์ยังยืนได้ในแดนบวก
.นักลงทุนติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ 12-13 ธ.ค.นี้
.ตลาดคาดเฟดจะเริ่มยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยจะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
นักลงทุนรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยต่อไป โดยธนาคารกลางสหรัฐจะจัดการประชุมในวันที่ 12-13 ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ โดยในวันที่ 12 ธ.ค.สหรัฐฯ จะรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 36,300.22
จุด เพิ่มขึ้น 52.35 จุด หรือบวก 0.14% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 4,605.65 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด หรือ 0.03%
ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส อยู่ที่ 14,366.10 จุด ลดลง 37.88 จุด หรือ 0.26%
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า โดยข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50%
อย่างไรก็ดี นักลงทุนคาดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. 2567 ซึ่งล่าช้าออกไป 2 เดือนจากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2567
ขณะเดียวกัน ตลาดยังคงกังวลทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะมีการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ของสหรัฐ ในวันอังคารที่ 12 ธ.ค. เวลา 20.30 น. ตามเวลาไทยด้วย
ทั้งนี้ ตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ยังส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรับฯ แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก โดยแข็งค่าต่อเนื่องจากการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ (8 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลง
ขณะเดียวกัน ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) มีการออกรายงานอัปเดตการค้าโลก (Global Trade Update) ระบุว่า การค้าทั่วโลกน่าจะหดตัวลง 5% แตะระดับประมาณ 30.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการที่ประเทศพัฒนาแล้วส่งออกได้ค่อนข้างซบเซา ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลดลง