ดาวโจนส์กลับมาปิดบวก 54 จุด แม้มูดีส์ลดเกรดสหรัฐฯ



ตลาดหุ้นสหรัฐฯซื้อขายที่ผันผวน ทั้งในแดนบวกและลบ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในวันนี้

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนในแดนบวกลบ ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวัง
  • นักลงทุนติดตามการประกาศเงินเฟ้อหาทิศทางดอกเบี้ย
  • มูดี้ส์ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐสู่”เชิงลบ”

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 13 พ.ย.ที่ 34,337.87 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด หรือ +0.16%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,411.55 จุด ลดลง 3.69 จุด หรือ -0.08% ส่วนดัชนี แนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 13,767.74 จุด ลดลง 30.36 จุด หรือ -0.22%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯซื้อขายที่ผันผวน ทั้งในแดนบวกและลบ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในวันนี้ เพื่อประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเท่าใด โดยมีแรงบวดจากการมองว่า เงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับระดับโลก ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐสู่ “เชิงลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 พ.ย.) โดยมูดี้ส์คาดการณ์ว่า การขาดดุลการคลังของสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงอย่างมาก ส่วนนี้ถือเป็นแจตัยลบ

กระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันนี้ (14 พ.ย.) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 3.7% และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 4.1% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.ย.

แมตต์ สตักกี นักวิเคราะห์จากบริษัท Northwestern Mutual Wealth Management กล่าวว่า ดัชนี CPI และข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาด เนื่องจากจะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด โดยแม้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่การคาดการณ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงได้ก็ต่อเมื่อเงินเฟ้อส่งสัญญาณถึงความคืบหน้าตามเป้าหมายของเฟด ควบคู่ไปกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง

ข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 86% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค.

มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ทำให้ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 0.7% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้น 0.6% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลงหนักที่สุด โดยปรับตัวลดลง 1.2%

หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 4% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาที่จะกลับมาทำข้อตกลงซื้อเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 737 Max อีกครั้ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ พบปะเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ซานฟรานซิสโกในวันที่ 15 พ.ย.นี้

นอกจากนี้ ราคาหุ้นโบอิ้งยังได้แรงหนุนจากการที่สายการบินเอมิเรตส์ของดูไบสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 777X อีก 90 ลำในงาน Dubai Airshow ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเดวิตา ทะยานขึ้น 6.5% หุ้นเดกซ์คอม พุ่งขึ้น 4.6% และหุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 1.9% หลังจากนักวิเคราะห์หลายรายได้แสดงความเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับยาเวโกวี (Wegovy) ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนที่ผลิตโดยบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk)

นักลงทุนยังจับตาสภาคองเกรสสหรัฐซึ่งกำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณเพื่อช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดดำเนินงานหรือชัตดาวน์ ได้ทันกำหนดเส้นตายในวันศุกร์ที่ 17 พ.ย.นี้ โดยนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้นำเสนอร่างงบประมาณการใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือยูเครนและอิสราเอล