ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงแรงกว่า 400 จุด นักลงทุนเทขายหวั่นราคาหุ้นสูง เกินพื้นฐาน



.นักลงทุนเทขายหุ้นเทคโลโลยีต่อเนื่อง กดดัชนีแนสแด็ก-เอสแอนด์พี 500 ดิ่ง
.ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่ม1.4 ล้านตำแหน่งเดือนส.ค. สูงกว่านักวิเคราะห์คาด
.ตลาดกังวลความขัดแย้งจีนสหรัฐด้านการค้า และการกีดกันบริษัทไอที

เมื่อเวลา 21.30 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่อง หลังจากดิ่งลงแรงกว่า 800 จุด ในช่วงปิดตลาดวานนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 27,883.40 06 จุด ลดลง 409.33 จุด -1.45% ขณะดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ลดลงแรงที่ 471.48 จุด หรือ -4.11% โดยเคลื่อนไหวที่ 10,986.62 ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,377.20 จุด ลดลง 77.86 จุด หรือ -2.25%

นักลงทุนยังคงเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่นักวิเคราะห์เริ่มมองว่า ราคาหุ้นของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะสูงเกินพื้นฐาน หลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวล่าช้า และยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานที่นักลงทุนจับตามาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ปรับตัวดีขึ้น โดยสำนักงานสถิติแรงงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.255 ล้านตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่หยุดชะงักไปจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงก่อนหน้านี้

โดยตัวเลขจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนส.ค.ได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานภาครัฐที่เพิ่มขึ้น 344,000 ตำแหน่ง หรือ 25% ขณะที่การจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1 ล้านตำแหน่ง ภาคค้าปลีกจ้างงานเพิ่มขึ้น 249,000 ตำแหน่ง บริการธุรกิจและวิชาชีพเพิ่ม 197,000 ตำแหน่ง และภาคการท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดหนักที่สุด เพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่ง

ขณะที่ อัตราการว่างงานเดือนส.ค. ลดลงสู่ระดับ 8.4% จากระดับ 10.2% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.8% โดยนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่อัตราว่างงานของสหรัฐอยู่ต่ำกว่าระดับ 10% อย่างไรก็ดี อัตราว่างงานก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับสถิติในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด โดยอัตราว่างงานอยู่ที่ระดับ 3.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำในรอบ 50 ปี

ทั้งนี้ ตลาดยังคงกังวลความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐยังคงตึงเครียด อันเนื่องมาจากความขัดแย้งด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาของสหรัฐที่มองว่าสินค้าไอทีของจีนมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ และการกล่าวโทษจีนว่าเป็นต้นเหตุทำให้โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระบุในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน China International Fair for Trade in Services ผ่านทางวิดีโอว่า ทุกประเทศควรร่วมกันสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและทั่วถึงสำหรับความร่วมมือ โดยจีนจะยังคงเดินหน้าเปิดตลาด ผ่านคลายกฎระเบียบต่างๆ เพื่อการเข้าถึงตลาดในภาคบริการได้ง่ายขึ้น โดยจะขยายการค้าภาคบริการทั้งการส่งออกและนำเข้า

โดยจีนจะทำงานร่วมกับทุกประเทศในการยกระดับการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจแบ่งปัน โดยภายในงานจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัยมากมายแบบออฟไลน์ และออนไลน์ อาทิ เครือข่ายไร้สาย 5G และหุ่นยนต์บริการ เป็นต้น และมีบริษัทและองค์กรประมาณ 18,000 แห่งจาก 148 ประเทศและภูมิภาคลงทะเบียนเข้าร่วมงานนี้