

- แม้ถูกตัดสิทธิจีเอสพีสินค้า 231 รายการมีผล 30 ธ.ค.63
- เหตุต้องปกป้องคุ้มครองสุขภาพคนไทย-เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู
- มั่นใจสินค้าไทยแข่งขันได้ในสหรัฐฯเหตุมีคุณภาพดี เชื่อถือได้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ที่ให้กับสินค้าไทย 231 รายการ มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.63 เพราะไทยไม่เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงแรคโตพามีนตกค้างจากสหรัฐฯว่า จนถึงขณะนี้ ยืนยันว่า ไทยไม่มีนโยบายเปิดตลาดนำเข้าสินค้าดังกล่าว เพราะต้องคำนึงถึงสุขภาพของคนในประเทศ และเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ ที่มีจำนวนมากด้วย ส่วนกรณีที่ในระหว่างนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) เปิดโอกาสให้ไทยหารือ และชี้แจงกรณีการตัดสิทธินั้น ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ไทยที่ประจำอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประสานงาน แต่ที่ผ่านมา ก็ได้ทำงานร่วมกับยูเอสทีอาร์มาโดยตลอดอยู่แล้ว
“เรื่องการเปิดตลาดนำเข้า ต้องคุยกันหลายกระทรวง ไม่เฉพาะกระทรวงพาณิชย์ เพราะเกี่ยวข้องกับกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุข เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู รวมทั้งฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย กระทรวงพาณิชย์กระทรวงเดียวคงไม่สามารถพิจารณาตัดสินใจเรื่องนี้ได้ แต่ขณะนี้ ยืนยันว่า ไทยยังไม่มีนโยบายเปิดตลาดนำเข้าแน่นอน”
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า การถูกตัดสิทธิครั้งนี้ ไทยติดตามเรื่องมาโดยตลอด และทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบมาแล้ว ไม่อยากให้กังวลกับเรื่องนี้มากนัก โดยได้ร่วมกับภาคเอกชนหาลู่ทางให้กับสินค้าที่ถูกตัดสิทธิ ให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศคู่แข่ง ที่ยังคงได้รับสิทธิจากสหรัฐฯอยู่ ซึ่งภาคเอกชน ก็พูดแล้วว่า ไม่กังวลกับการถูกตัดจีเอสพี เพราะสินค้าไทยแข่งขันด้านราคาได้ เพราะมีคุณภาพดี และมีความน่าเชื่อถือ แม้การถูกตัดจีเอสพี ทำให้สินค้าไทยต้องกลับเสียภาษีนำเข้าอัตราปกติที่ 3-4% คิดเป็นภาระภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 600 ล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องหาตลาดใหม่รองรับสินค้ากลุ่มนี้ด้วย