

วันที่ 23 ก.ค. 2564 วารสาร the New England Journal of Medicine ตีพิมพ์งานวิจัยของสาธารณสุขอังกฤษ (PHE) ยืนยันประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) และแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) จากการใช้จริง ว่ามีประสิทธิภาพต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
โดยผลการวิจัยล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนเปอร์เซนต์ประสิทธิภาพวัคซีนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการเปิดเผยก่อนหน้า แต่ยังมีผลไปในทิศทางเดียวกันว่า วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพสูงถึง 88% ขณะที่วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพ 67% ต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา เมื่อฉีดครบ 2 เข็มแล้ว
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงจริงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อัลฟา
ขณะที่การฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม พบประสิทธิภาพต้านไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาในระดับที่น้อยกว่า 50% โดยวัคซีนไฟเซอร์ 1 เข็ม มีประสิทธิภาพ 36% ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพ 30%
งานวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงเดียวกับที่มีงานวิจัยในอังกฤษอีก 1 ชิ้นที่แนะนำให้ทิ้งช่วงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ระหว่างเข็มที่ 1 กับเข็มที่ 2 ให้นานขึ้น หลังพบว่าการทิ้งช่วงมีผลให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านโควิดได้ดีกว่า
ผลการศึกษานี้ชี้ว่า การทิ้งระยะฉีดวัคซีน 10 สัปดาห์ ทำให้วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการทิ้งช่วง 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่รัฐบาลอังกฤษกำหนดไว้ในปัจจุบัน