

- ชี้ไตรมาส 3 การใช้จ่ายประชาชนดีขึ้น 6.3%
- คลัง-ธปท.ต้องช่วยบริหารค่าเงินบาท
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) จะขยายตัวแบบติดลบ โดยปีหน้าจะขยายตัวเป็นบวกราว 4% ในขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ได้ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ออกมา ซึ่งติดลบน้อยกว่าไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเศรษฐกิจภายในปรับตัวดีขึ้นหลังปลดล็อคมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ
“การใช้จ่ายประชาชนดีขึ้น ถ้าเทียบไตรมาส 3 กับไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา โดยการใช้จ่ายประชาชนกลับมาเป็นบวก 6.3% ส่วนการลงทุนภาครัฐบวกมา 18% ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจของไทยพื้นฐานดี และช่วงที่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ก็เพื่อควบคุมการระบาดโควิดไว้ก่อน หลังจากนั้นเมื่อมั่นใจว่าไม่มีแพร่ระบาดภายในประเทศ จึงทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์และกระตุ้นใช้จ่าย”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ดัชนีเครื่องชี้จะดีกว่าไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งกระทรวงการคลังใช้พยายามเต็มที่ในการกระตุ้น
“สภาพัฒน์ฯ ปรับจีดีพีจากเดิมที่คาดจะติดลบ 7.5% ก็ปรับลดลงมาเหลือ 6% ดังนั้นปีนี้ยังไงก็ติดลบ แต่ลบน้อยลง หมายถึง ดีขึ้น ปีหน้าค่อนข้างมั่นใจว่าจะปรับตัวดีขึ้นแน่นอน ขณะนี้เศรษฐกิจเหลือเพียงตัวเดียว คือ เรื่องของท่องเที่ยว ถ้าเปิดประเทศได้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และเตรียมจะให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ประเมินตัวเลขจีดีพีใหม่”
สำหรับกรณีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศ(ธปท.) ตลอดเวลา และธปท.คงมีการอออกมาตรการช่วยเหลือส่วนนี้ ส่วนสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งเป็นเพราะตลาดเงินทุนและตลาดหุ้นไทยของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา และพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยต่างชาติยังให้ความเชื่อมั่น ทำให้ต่างชาติยังเข้ามาลงทุน
“การดูแลค่าเงินบาทนโยบายการเงินและการคลังจะต้องสอดประสานกัน ซึ่งในส่วนของนโยบายการกระทรวงการคลัง นอกจากการมีเรื่องการนำเข้าสินค้าแล้ว ยังมีเรื่องการชำระหนี้ต่างประเทศ เพื่อจ่ายเงินดอลลาร์ออกไป และการเบิกเงินกู้ต่างประเทศที่กำลังจะทยอยเบิก ซึ่งตรงนี้น่าจะช่วยผ่อนคลายค่าเงินบาทได้ ส่วนสิ่งที่ต้องระวังในเรื่องของเงินทุนที่จะไหลเข้ามาในช่วงตลาด คือ เรื่องการเก็งกำไร”