คลัง จับตาสงครามสหรัฐ-อิหร่านหวั่นกระทบส่งออก



  • พร้อมออกมาตรการรับมือทันทีหากเจอผลกระทบ
  • ลั่น! กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่เอื้อนายทุน
  • มั่นใจพ.ร.บ.งบประมาณปี 63 บังคับใช้ทันเดือนก.พ.นี้

นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยหลังประชุมผู้บริหารกระทรวงการคลัง ว่า ในปี 2563 นั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงการคลังทุกหน่วยงาน  ติดตามและประเมินเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่านในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งถ้าหากพบว่ามีความจำเป็นที่ต้องออกมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น กระทรวงการคลังก็พร้อมจะออกมาตรการช่วยเหลือทันที 

“ตอนนี้ถือว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินเหตุการณ์อิหร่าน-สหรัฐ ที่จะเกิดการโจมตีกัน แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังไม่ได้วางใจ และสั่งให้ทุกหน่วยงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้มาตรการเพิ่มเติมหากเห็นว่ามีความเหมาะสม”

ส่วนกรณีเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 8-9 ม.ค.นี้ นายอุตตม ระบุว่า ผมพร้อมจะชี้แจงข้อมูลทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านจะเปิดอภิปราย โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562  ที่ฝ่ายค้านเสนอให้มีการยกเลิกการกฎหมายนี้เพราะเอื้อนายทุน โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายนี้ต่อไป เนื่องจากกฎหมายนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อเอื้อต่อนายทุน วัตถุประสงค์หลักของกฎหมายนี้ คือ การนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่ผ่านมากระทรวงการคลัง ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยตลอดเพื่อปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายให้รัดกุมมากที่สุด

“ขณะที่ในส่วนพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 นั้นเชื่อว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี จะผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบังคับใช้งบประมาณดังกล่าวได้ทันตามกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) กำหนดไว้เดือนก.พ. 2563 ”

นอกจากนี้ในปีนี้กระทรวงการคลังจะเดินหน้าตามนโยบายหลัก คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในให้เข้มแข็ง โดยกระทรวงการคลังจะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาขีดสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตั้งแต่ระดับชุมชน ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

“ปัจจุบันได้มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)และธนาคารออมสิน เป็นหัวเรือหลักในการพัฒนาฐานราก กำหนดเป้าหมายพื้นที่ และแนวทางการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง ธนารักษ์ คลังจังหวัด เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ เอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพระดับชุมชน มีรายได้มากขึ้น”