คลังชี้ ยังต้องติดตามไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด



  • เหตุกระทบท่องเที่ยว-นักท่องเที่ยวจีนหด
  • พร้อมออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมทันที

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า  หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทย(จีดีพี)ในไตรมาส 4 ปี 2562  ขยายตัวที่ 1.6% และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้  2.4% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัว 4.2 % ต่อปีนั้น 

สศค.มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส หรือ โควิด-19ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามที่ผ่านกระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการการเงินการคลัง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 ประกอบด้วย การช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบกิจการโรงแรมสามารถหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในการปรับปรุงกิจการโรงแรมเป็นจำนวน 1.5 เท่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยการให้หน่วยงานสามารถหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศเป็นจำนวน 2 เท่า 

นอกจากนี้ยังดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ประกอบด้วย มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น 

“กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมทันที อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่มีแรงกดดันด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งอัตราเงินเฟ้อต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และฐานะทางการคลังสะท้อนจากหนี้สาธารณะต่อ GDPที่อยู่เพียง 41.3% เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เข้มแข็งมาก”