- คาดรัฐบาลสูญเสียรายได้ราว 4,500 ลบ.
- มีเงินลงทุนปรับปรุงธุรกิจโรงแรม 24,000 ลบ.
- เล็งลดภาษีน้ำมันช่วยกลุ่มรถทัวร์เพิ่ม
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 เพื่อลดผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่เกิดจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ประกอบด้วยมาตรการด้านภาษี และมาตรการด้านการเงิน โดยคาดว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้รวมทุกมาตรการประมาณ 4,500 ล้านบาท
สำหรับมาตรการด้านภาษี ได้แก่ มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น (น้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินฯ) โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินฯ ที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเที่ยวบินในประเทศ จากเดิม 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร ถึงวันที่ 30 ก.ย.63 คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ 2,000 ล้านบาท
“มาตรการดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือแบบเร่งด่วน จึงลดให้เฉพาะกับเครื่องบินไปก่อน เนื่องจากเป็นมาตรการที่มีแผนงานอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามทราบมาว่าทางผู้ประกอบการรถทัวร์ ก็อยากให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้เช่นกัน ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมจะพิจารณาแต่คงต้องขอหารือกันก่อนเพื่อดูความเหมาะสม”
นอกจากนี้ยังมีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.63 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง คาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ 1,000 รายคิดเป็นเงินผู้ประกอบการต้องจ่าย 435 ล้านบาท และเป็นคืนภาษีให้บริษัทห้างหุ้นส่วน จำนวน 87 ล้านบาท
ขณะที่มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการต่อเติมเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.63 จำนวน 1.5 เท่า ของรายจ่ายตามจริง คาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ 1,000 ราย คิดเป็นเงินลงทุนปรับปรุงกิจการ 24,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นภาษีที่ต้องคืนให้ผู้ประกอบการจำนวน 2,400 ล้านบาทในช่วง 20 ปี หรือปีละ 120 ล้านบาท
“กระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการที่ออกมาช่วยบรรเทาผลกระทบของกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยยืนยันว่าขณะนี้แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงมาก แต่ยังเติบโตได้ไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแบบที่หลายฝ่ายประเมินไว้ ทั้งนี้หากมีเงินลงทุนปรับปรุงธุรกิจโรงแรมถึง 24,000 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจในปี 2563 ได้ โดยสศค.คาดว่าปัญหาไวรัสโคโรนาจบใน 3 เดือน และปีนี้ยังประเมินเศรษฐกิจเติบโตที่ 2.8%”
ส่วนการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 ซึ่งจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีในเดือนมี.ค.ของปี 63 ให้ขยายกำหนดเวลาออกไปเป็นภายในเดือนมิ.ย.ของปี 63
อย่างไรก็ตามมาตรการด้านการเงินสถาบันการเงินของรัฐใช้กรอบแนวทางเดิมของการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอีก่อนหน้านี้ แต่ให้เพิ่มการช่วยเหลือในกลุ่มท่องเที่ยวเข้าไปด้วย ซึ่งการช่วยเหลือมีทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรน วงเงินรวม 123,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยให้ดอกเบี้ยเริ่มต้น 3 % ต่อปี
นอกจากนี้ยังมีการขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียม เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับเสริมสภาพคล่องและปรับปรุงสถานประกอบการ สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา อาทิ ธนาคารออมสิน ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญา สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ พักชำระหนี้เงินต้นสำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนวันเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป้นต้น