

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การปราบปรามสินค้าเถื่อน เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้กรมสรรพสามิตใช้ซอฟต์แวร์ (Software) ติดตามกลุ่มที่มีพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายขายสินค้าที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งปัจจุบันมีการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย บนระบบออนไลน์ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563-มีนาคม 2564) เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต สามารถจับกุมผู้ขายบุหรี่เถื่อน ได้มากถึง 1.3 ล้านซอง เทียบกับการจับตามปกติที่ทำได้ปีละ 2-3 แสนซอง หรือเพิ่มขึ้นราว 4 เท่าตัว
“กรมจะติดตามสินค้าสำคัญๆหลายตัว ที่มักมีกลุ่มคน ทำการลักลอบนำเข้าโดยหลบเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งนอกจากบุหรี่แล้ว ก็มีสุรา,ไวน์ และน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าทื่ล้วนมีราคาแพง(เมื่อรวมภาษีสรรพสามิตแล้ว)”
ทั้งนี้การปราบปรามสินค้าเถือ่น เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มรายได้ของกรม เช่นกรณีน้ำมันที่ส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต แต่มีบางรายไม่ได้ส่งออกจริง แต่นำวนกลับมาขายต่อภายในประเทศ ซึ่งรายได้จากภาษีน้ำมันถือเป็นรายได้หลักของกรม เพราะเพียงเพิ่มการจัดเก็บได้อีก 5 % ก็เป็นรายได้ภาษีราว 1 หมื่นล้านบาทแล้ว
“ในปี 2565 เป็นปีที่กระทรวงการคลัง เตรียมแผนเพื่อปฏิรูปภาษี โดยส่วนหนึ่งของการปฏิรูปคือการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ซี่งรวมถึงการปราบปรามสินค้าเถื่อนดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นความท้าทายของกรมสรรพสามิตที่จะรักษาระดับรายได้ของกรมให้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย”
ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 22564 กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บภาษีได้รวม 4.16 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 11.5 % โดยในปีงบประมาณนี้ กระทรวงการคลังได้ตั้งเป้าหมายให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณไว้ที่ 5.49 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ได้รับลดลงแล้ว จากเดิมอยู่ที่ 6.3 แสนล้านบาท เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจลดต่ำลง เหลือ 1.3 % จากการคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้ จากเดิมที่เคยคาดการไว้เมื่อเมษายนนี้ว่าจะขยายตัว 2.3%