

- เผยปุ๋ยเคมีราคาสูงแน่ หลังรัสเซียสั่งงดส่งออก ชี้มีแนวโน้มถึงขั้นขาดตลาดได้
- ชี้กระทบพี่น้องเกษตรกรโดยเฉพาะรายเล็ก แนะรัฐต้องปรับตัว ปรับมาตรการช่วยเหลือ
- ฝากถึงนักการเมืองทุกพรรค ลั่นช่วงนี้ไม่น่ามีอะไรที่สำคัญไปกว่าเรื่องปากท้องประชาชน
- วอนให้มาสุมหัวร่วมกัน ช่วยกันคิดหาทางออก-แก้ปัญหาจะดีกว่า
วันนี้ (7 มี.ค.65) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวถึงสภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า เป็นห่วงมาก โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ผลกระทบต่อราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อช่วงเช้าราคานํ้ามันตลาดโลกกระโดดขึ้น 10% บวกกับมาตรการของประธานาธิบดีปูตินเมื่อวาน ที่แนะนำผู้ผลิตปุ๋ยเคมีของรัสเซียรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ให้งดการส่งออกวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งนอกจากเป็นผู้ผลิตโปแตช (Potash) รายใหญ่แล้ว รัสเซียมีสัดส่วนตลาดการส่งออกยูเรีย (Urea) และแอมโมเนีย(Ammonia) ที่สูงมากที่ 15% และ 20% ปุ๋ยเคมีจะราคาสูงขึ้นไปอีก หลังจากที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะขาดตลาดได้
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองเรื่องนี้ มีผลกระทบกับไทยโดยตรงแน่นอน ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องคนไทยทุกคนอยู่แล้ว แต่การงดการส่งออกวัตถุดิบและปุ๋ยเคมีที่รัสเซียผลิตนั้น จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะเกษตรกรรายเล็ก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องปรับตัว ปรับมาตรการเตรียมที่จะช่วยเหลือเกษตรกรรายเล็กโดยเร็ว ต้องมีความใกล้ชิดในการประสานกับภาคเอกชนมากขึ้น ว่าจะหาทางออกในวิกฤตนี้ ให้กับเกษตรกรในฐานะผู้ใช้ปุ๋ยอย่างไร
ทั้งนี้ราคาปุ๋ยเคมีในประเทศ มีการกำหนดเพดานราคาไว้ ซึ่งราคาปัจจุบัน ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เป็นราคาที่ทำให้ผู้ผลิตขาดทุน เพียงแค่ในส่วนของวัตถุดิบก็ขาดทุนแล้ว ยังไม่ได้รวมถึงต้นทุนในแง่การผลิตอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่เราต้องหลีกเลี่ยงคือ ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการผลิตปุ๋ยเคมีในประเทศน้อยลงเกินกว่าความต้องการของตลาด บวกกับข้อเท็จจริงราคาส่งออกไม่เคยมีการกำหนดเพดาน ซึ่งหมายความว่า จากนี้ไปสำหรับผู้ผลิตในประเทศ น่าจะเลือกส่งออกมากกว่าที่จะขายในประเทศ ทำให้มีโอกาสเกิดสภาวะปุ๋ยขาดตลาด
โดยสภาวะปุ๋ยที่ขาดตลาด จะนำไปสู่การซื้อขายปุ๋ยในตลาดมืด ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการซื้อขายในราคาที่เหนือกว่าราคาเพดานที่รัฐบาลกำหนดไว้ สร้างความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้กับพี่น้องเกษตรกร
“ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปทุกๆ วันนี้ รัฐบาลต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มีความยืนหยุ่นพิจารณามาตรการที่เหมาะสม อย่ายึดติดกับวิธีการควบคุมหรือแก้ปัญหาในสภาวะปกติ ช่วงสงครามปัจจุบัน ไม่ใช่สภาวะปกติ รัฐบาลต้องตื่นตัว ต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน ต้องติดตามข่าว ข้อมูล และประเมินสถานการณ์ให้ถูกต้องและที่สำคัญต้องมีความยืนหยุ่นในการนำเสนอมาตรการที่เหมาะสมเพื่อดูแลปากท้องของพี่น้องประชาชน สุดท้ายอยากฝากถึงเพื่อนนักการเมืองทุกพรรค ว่าช่วงนี้ไม่น่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญมากกว่าเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนเพราะฉะนั้น ในกรณีสงคราม ยังเห็นมีความพยายามปลุกปั่นให้คนไทยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มองว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เรามาสุมหัวร่วมกัน ช่วยกันคิดหาทางออกในการแก้ปัญหาเรื่องปากท้องเรื่องปัญหาเศรษฐกิจให้กับบ้านเมืองดีกว่า” นายกรณ์ กล่าว