กกร.ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี2563เหลือ2-2.5%



  • ระส่ำไวรัสโคโรนากระทบรายได้ท่องเที่ยว 2.2แสนล้านบาท
  • ชี้ปัจจัยในประเทศซ้ำ ขาดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ส่งออกป่วนหลังหลายประเทศปิดด่านนำเข้า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่าที่ประชุมกกร. ได้มีมติปรับประมาณการณ์อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ปีนี้ใหม่ โดยให้อยู่ที่ 2 – 2.5% ลดลงจากก่อนหน้านี้ คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 2.5 – 3% เนื่องจากเผชิญความท้าทาย จากปัจจัยลบ ทั้งในและต่างประเทศ โดยปัญหาหลักในขณะนี้ืคือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา จากประเทศจีน ท่ี ยังมีความไม่แน่นอนว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเมื่อใด โดยภายใต้สมมติฐานการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา อยู่ในกรอบเวลา 3-6 เดือน จะส่งผลกระทบรายได้การท่องเที่ยวที่หายไปอาจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 108,000-220,000 ล้านบาท ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งโรงแรม และที่พักเกตเฮ้าส์ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และธุรกิจขนส่ง

ท้ังนี้ ผลกระทบดังกล่าว ยังเก่ียวพันไปยังปัจจัยการส่งออกและนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้ ที่ล่าสุด ประเทศเวียดนามและเมียนมา ได้มีการปิดด่านชายแดนเพื่อห้ามนำเข้า จึงทำให้ประเทศไทย ไม่สามารถส่งสินค้าไปยังประเทศจีนได้ ต้องทำการขนส่งทางเรือเท่านั้น แต่กกร.จะยังคงกรอบประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกติดลบไว้ที่ 2-0% และเงินเฟ้อไว้ตามเดิมที่ 0.8-1.5% ขณะที่ยังคงต้องและติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิดต่อไป และติดตามการออกมาตรการของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบด้วย

สำหรับปัจจัยในประเทศที่ส่งผลกระทบหลักๆ ได้แก่ ความล่าช้าของการมีผลบังคับ ใช้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุน รวมถึงภัยแล้งที่รุนแรงซึ่งเป็นแรงฉุดกำลังซื้อของครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มฐานราก รวมถึงปัญหาค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ที่อาจมีผลต่อคุณภาพชีวิต และการทำกิจกรรมกลางแจ้งของประชาชน

“ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะ เผชิญความท้าทายจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ และผลกระทบจากไวรัสโคโรนาดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนในปี นี้ จะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดและส่งผลทางลบมากขึ้นต่อการส่งออกของไทยแล้ว ยังเป็นแรงฉุดสำคัญต่อภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องของไทยให้ประสบกับความยากลำบากด้วย เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนด้านจำนวนและรายได้คิดเป็น 28% ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมด”

ขณะเดียวกัน ภาวะเศรษฐกิจไทยก็ ยังขาดแรงขับเคลื่อน โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปีนี้ กกร. จึงมีข้อเสนอเรื่องด่วนต่อภาครัฐ โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการ ร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้เหมาะสมและการจัดซื้อ สินค้าทแบรนด์ไทย (โลคอล คอนเทนต์) รวมทั้งช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) มีส่วนร่วมในการเข้าประมูลของภาครัฐ รวมถึงขอยกเว้นการจ่ายประกันสังคมของลูกจ้างทั้งหมด และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นเวลา 6 เดือน และขอให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ให้เร็วขึ้นไม่เกิน 30 วัน ขณะเดียวกัน ได้ขอให้มีการลดค่าไฟฟ้า 5% จากยอดเรียกเก็บให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า เป็นระยะเวลา 6 เดือน และ ในส่วนของภาคเอกชน จะเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และการท่องเที่ยวในประเทศโดยสนับสนุนให้ร้านค้า โรงแรม และบริษัทในเครือข่าย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายขึ้นในช่วงนี้

“กกร. มีความพึงพอใจกับการจัดการของภาครัฐ ในปัญหา เรื่องไวรัสโคโรนา เนื่องจากมีกระบวนการบริหารงานเป็นอย่างดี มีการเตรียมพร้อมที่เป็นระบบ และมีการรักษาผู้ติดเชื้แให้หายขาดด้วย รวมถึงล่าสุดที่มีการไปรับคนในไทยประเทศจีนกลับมา ก็มีการเตรียมพื้นที่รองรับไว้อย่างเหมาะสม”