ลุ้น!เคาะสูตรขยับค่าแรง 1.5% แบบรายเขต-กิจการ

การปรับขึ้นค่าแรงในปี2567 มีการประชุมเพื่อให้ทันประกาศใช้เดือนเม.ย.นี้ โดยที่ประชุมเคาะสูตรปรับขึ้นค่าแรง 1.5% เฉลี่ยที่ขึ้น 2-16 บาทต่อวัน

  • นัดถก 26 มี.ค.นี้หลังยังไร้ข้อยุติ
  • กรณีจะปรับขึ้นเป็นรายเขตและประเภทกิจการ
  • ส.อ.ท.ชี้รัฐขึ้นค่าจ้างซ้ำเติมSMEs หนัก

  นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า วันที่ 26 มีนาคม 2567 คณะกรรมการค่าจ้าง(ไตรภาคี) ซึ่งได้ตั้งได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุดเพื่อมาพิจารณาจัดทำสูตรในการคำนวณใหม่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงสำรวจข้อมูลที่จะมาประกอบสูตรใหม่ที่เหมาะสมเพื่อประกาศขึ้นค่าแรงในปี 2567 รอบที่ 2 ที่กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายที่จะประกาศให้ทันในเดือนเม.ย.นี้ โดยเบื้องต้นจากการประชุมเมื่อ 27 ก.พ. นี้ได้ข้อยุติในเรื่องของสูตรการคำนวณสูตรออกมาเบื้องต้นคือค่าแรงจะเป็นสูตรที่เพิ่มขึ้นอีก 1.5% จากการปรับขึ้นค่าแรงเมื่อ 1 ม.ค.67 เฉลี่ยที่ขึ้น 2-16 บาท/วันหรือรวมขึ้นเฉลี่ย 2.37% 

 “ การคำนวณสูตรใหม่จะอิงที่ประสิทธิภาพแรงงาน ใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP )รายจังหวัด  และอิงอัตราเงินเฟ้อในปี 2566 ซึ่งเป็นไปตามสูตรที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานปี 2560 (ม.87 ) ซึ่งอัตราที่บวกเพิ่มจาก 2.37% อีก 1.5%นั้นจะปรับขึ้นบวกไปอีกเล็กน้อยจากเดิมแต่สูงสุดยังคงไม่ถึง 400 บาท/วันซึ่งนายจ้างและลูกจ้างก็พอใจ “ 

นายธนิต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามการประชุมที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุปถึงแนวทางที่กระทรวงแรงงานต้องการให้มีการปรับขึ้นเป็นรายเขตเทศบาล เช่น กทม. เช่น เขตปทุมวัน  สงขลาดก็เขตเทศบาลหาดใหญ่ ฯลฯ แต่ปัญหาคือ GDP รายเขต เทศบาลไม่มี ซึ่งอาจจะใช้สูตรผลิตภัณฑ์จังหวัด (GPP) ขณะเดียวกันจะกำหนดประเภทกิจการที่จะพิจารณาในการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ทำให้ประเด็นดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ ดังนั้นจึงจะมาสรุปในวันที่ 26 มี.ค.นี้อีกครั้ง

 “ การคำนวณสูตรค่าแรงขั้นต่ำเป็นไปตามพ.ร.บ.ฯที่สมัยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกเอาไว้ซึ่งแตกต่างในปี 2557 ที่ไม่ได้ดำเนินการทำให้การขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันทำได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงสูตร ซึ่งหากจะทำได้ต้องไปยกเลิกกฏหมายตัวนี้ซึ่งเห็นว่ากฏหมายดังกล่าวดีอยู่แล้วเพื่อป้องกันนักการเมืองในการใช้หาเสียง”นายธนิตกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า    การทบทวนค่าแรงดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยที่ได้ตั้งเป้าหมายให้เห็นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน  แต่ภาพรวมม.ค. 67 ขึ้นได้เพียง 2-16 บาท/วัน มีเพียงจ.ภูเก็ตที่ได้ 370 บาท/วัน จึงสั่งให้ทบทวน อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นรอบ 2 ในเดือนเม.ย.นี้แม้ว่าจะดูไม่มากเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการสร้างกำลังซื้อให้คนไทยที่อยู่ในภาวะค่าครองชีพสูงแต่เป็นการควักเงินของผู้ประกอบการ แต่เมื่อหันมามองผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) กำลังลำบากทั้งต้นทุนดอกเบี้ยที่สูง  แรงซื้อประชาชนต่ำ แถมโดนสินค้าจีนทะลักเข้ามา ทำให้เอสเอ็มอีกำลังจะล้มกันจำนวนมาก รัฐเองควรจะมองในแง่มุมนี้ด้วย

ทั้งนี้คาดว่ารัฐบาลน่าจะไปหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้คนไทยมากกว่าการจะไปขึ้นค่าจ้างรอบ 2 ที่จะยิ่งซ้ำเติมธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีให้แย่ไปกว่านี้ท่ามกลางหนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพที่สูงและค่าแรงขึ้นสินค้าก็จะตามมาอีก ขณะที่แนวโน้มค่าพลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าเองก็ยังคงสูงระดับ 4.18 บาท/หน่วยท่ามกลางฤดูร้อนที่รายจ่ายประชาชนยิ่งลำบาก