คลัง หารือ FETCO เคาะผลักดัน Thailand ESG Fund ออมระยะยาว

คลัง ถกสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ดัน Thailand ESG Fund กองทุนการลงทุนเพื่อการออมระยะยาว ลั่นสามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้

  • เป็นกองทุนอายุ 10 ปี โดยเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทุนในตราสารหนี้
  • จ่อส่งต่อ ครม. พิจารณาในวันที่ 21 พ.ย.นี้
  • ด้าน FETCO ชี้รัฐบาลหนุนธุรกิจที่ทำตามหลัก ESG จะทำให้หลายบริษัทหันมาให้ความสนใจ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมผลักดัน Thailand ESG Fund ซึ่งจะเป็นกองทุนการลงทุนเพื่อการออมระยะยาว ที่สามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกกองของประเทศไทย ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 21 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าว จะเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการลงทุนในตราสารหนี้ ที่เป็นหลักทรัพย์และตราสารหนี้ที่มีการดำเนินการเข้าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกองทุนนี้จะมีอายุ 10 ปี โดยกระทรวงการคลัง ตั้งใจจะให้สามารถเริ่มจัดตั้งกองทุนนี้ได้ภายในปีนี้ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนในปีนี้ และสามารถนำรายจ่ายลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ในช่วง ม.ค.-มี.ค. ปี 67

ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนใน TESG จะสามารถทำรายจ่ายที่ซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ไม่เกิน 30% ของรายได้ของผู้ซื้อหน่วยลงทุน แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท/ปี โดยผู้ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว ที่จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี จะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนนี้ ให้ครบ 8 ปีเต็ม ทั้งนี้กระทรวงการคลังคาดว่า ภายใน 1 เดือน ของการเปิดขายหน่วยลงทุนดังกล่าว จะมีมูลค่ากองทุนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท

“TESG จะเป็นกลไกหนึ่งของประเทศไทยในการดำเนินการตามกติกาโลกที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินการธุรกิจภายใต้หลัก ESG และเชื่อว่า เมื่อรัฐบาลใช้มาตรการสนับสนุนให้จัดตั้ง TESG จะทำให้บริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หันมาปรับกระบวนการทำงานให้เป็นไปตามหลัก ESG มากขึ้น โดยปัจจุบันมี 210 บริษัทจดทะเบียน จาก 800 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้รับการวารันตีจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า มีการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG”

นายลวรณ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกองทุนการลงทุนเพื่อการออมระยะยาว ที่สามารถนำรายจ่ายที่ลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ คือ RMF และ SSF ซึ่งในส่วนของ SSF ที่จะหมดอายุกองทุนในปีหน้านั้น กระทรวงการคลัง จะพิจารณาทบทวน ว่าสมควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกองทุน SSF อย่างไรต่อไป เพื่อให้เป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น

ด้าน น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ว่าที่อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมฯคาดว่า วงเงินการหักค่าลดหย่อนภาษี ของ TESG จะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ภาษีประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท (สำหรับมูลค่าการซื้อหน่วยลงทุนทั้งปี)

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า การที่รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินการตามหลัก ESG จะทำให้บริษัททั้งขนาดใหญ่และเล็ก หันมาให้ความสนใจการดำเนินการตามหลัก ESG มากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทจดทะเบียน 210 บริษัทที่ถูกวานันตีโดยตลาดหลักทรัพย์ ว่ามีการดำเนินการตามหลัก ESG นั้น ในจำนวนนี้มีบริษัทขนาด SMEs รวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กองทุนลงทุนเพื่อการออมระยะยาว มี RMF และ SSF โดย RMF สามารถนำรายจ่ายเพื่อการลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกิน 30 % ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และ SSF นำรายจ่ายเพื่อการลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกิน 30 % ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมการลงทุนใน RMF SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กบข. รวมถึงการออมใน กอช. แล้ว จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเมื่อมีกองทุนTESG ขึ้นมาอีกกอง ที่กำหนดให้สามารถนำค่าซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้อีก 100,000 บาท ทำให้ผู้ซื้อหน่วยลงทุน สามารถนำรายจ่ายที่ซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อยภาษีได้สูงสุด รวมไม่เกิน 600,000 บาท