“สมคิด”ห่วงPM2.5กระทบเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เปลี่ยนใช้รถยนต์ไฟฟ้า แนะรัฐบาลพัฒนาโครงสร้างระยะยาว ชี้เทอีอีซี แลนด์บริดจ์ไปไม่รอด
- เศรษฐกิจไทยเริ่มอ่อนแอ เดินไปข้างหน้าช้า
- ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เติบโตอย่างก้าวกระโดด
- อินโดนีเซีย กลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ
ศาสตราภิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “จับชีพจรชีวิตประเทศไทย” ในงานสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2567 โดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ “ฝ่าเศรษฐกิจ ปีงูใหญ่ ชวนสร้างไทยให้ยั่งยืน” ว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มอ่อนแอ เดินไปข้างหน้าช้า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปรับตัวเร็วมาก อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และตลาดหุ้นขยับขึ้นตลอด เช่น ประเทศอินโดนีเซีย กลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงต้องทำให้ไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทั้งประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา ไม่ได้รักประเทศไทย แต่มองว่ามีความสำคัญกับเขามากเพียงใดมากกว่า จึงต้องเกาะเส้นทางสายไหม (New Silk Road Economic Belt) ซึ่งจีนจะใช้ไทยให้เป็นประโยชน์ได้
“ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคเติบโตต่ำ Low Growth จึงต้องดูปัจจัยพื้นฐานของไทย ที่มีศักยภาพในแข่งขัน เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ AI อุตสาหกรรมแห่งอนาคตมาแรงมาก การใช้เทคโนโลยีต้องกระจายไปทุกจังหวัด และการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดน้อยมาก จึงมีโอกาสสำหรับตลาดของผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามไทยยังเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบไปหลายส่วน ทั้งการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ จึงต้องเปลี่ยน จากการใช้รถยนต์น้ำมัน ไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า”
นอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย ยังมาจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมา การแบ่งสี แบ่งค่าย มุ่งยึดฐานเสียงในทุกรูปแบบ จึงเปิดช่องให้คนมีทุนได้ประโยชน์ กลายเป็นโมเดลธุรกิจการเมือง การออกนโยบายระยะสั้น เพื่อต้องการหาคะแนนเสียง ไม่ได้กำหนดนโยบายระยะยาว หลายเรื่องต้องรอการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ขณะนี้เป็นช่วงปรองดองทางการเมือง รัฐบาลต้องผลักดันนโยบายระยะยาว แม้จะมีมาตรการระยะสั้นบ้าง แต่ต้องพัฒนาโครงสร้างระยะยาว พอมีข่าวว่าโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ไม่ได้รับการสานต่อ จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจ หากเป็นแบบนี้ แลนด์บริด คงไปไม่รอด
เศรษฐกิจถดถอยของไทยเกิดจากปัญหา การขาดหลักการยุติธรรม ธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ความเชื่อมั่น เชื่อและทำให้ประเทศไทยกำลังเดินไปสู่จุดที่มีความเสี่ยง
