สมาพันธ์แรงงานไทย ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย-สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ​ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี​ฉบับ 2 ตั้งข้อสงสัย 6 ข้อ เรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ชี้ต้องคำนึงถึงความเป็นจริง กติกาสากล  และสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

  • ชี้ต้องคำนึงถึงความเป็นจริง
  • กติกาสากล 
  • สัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 ธ.ค.2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ฉบับที่ 2 เรื่อง การปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องคำนึงถึงความเป็นจริง กติกาสากล และสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

โดยเนื้อหาระบุว่า

ภายหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท โดยจะทยอยปรับแต่เริ่มต้นจะปรับขึ้นเป็นวันละ 400 บาท แม้ว่าอาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงกับค่าครองชีพของประชาชนเหตุเพราะราคาสินค้า ราคาสาธารณูปโภค ปรับราคาแพงขึ้นอย่างมาก

และนโยบายเรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีแถลงต่อสาธารณะนั้น ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง แต่ส่วนใหญ่
เห็นด้วยและรวมไปถึงการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเท่ากันทั้งประเทศ 

27 พฤศจิกายน 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เข้าพบรัฐมนตรีและได้มีการพูดคุยหารือในเรื่องนี้และบอกตัวเลขการปรับค่าจ้างว่าตัวเลขที่เหมาะสมน่าจะเป็นที่ 400 บาท

ส่วนจะเท่ากันทั้งประเทศ ตามที่ สสรท. และ สรส. ต้องการหรือไม่นั้น อาจจะเป็นไปไม่ได้ ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2566 มีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณา เรื่อง การปรับค่าจ้างและมีมติเอกฉันท์ตามที่ปลัดกระทรวงแรงงาน

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร แถลง คือ การปรับค่าจ้างจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยจะมีการปรับในอัตรา 2-16 บาท ต่ำสุดอยู่ที่ 330 บาท สูงสุดอยู่ที่ 370 บาท ขยายจาก 13 ราคาในปี 2565 เป็น  17 ราคา โดยปลัดกระทรวงแรงงานแถลงว่าจะนำเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้าง ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ในวันที่ 12 ธันวาคม 2566

10 ธันวาคม 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล “เรียกร้องให้ทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นธรรม ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวได้ตามหลักการสากลและต้องเท่ากันทั้งประเทศ

พร้อมกับมาตรการควบคุมราคาสินค้า” จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างในทิศทางที่บอกว่าการปรับค่าจ้างนั้นน้อยเกินไป ไม่สอดคล้องกับภาวะการดำรงชีพของประชาชน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีก็แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ไม่อาจยอมรับได้ปรับน้อยเกินไป “ปรับ 2 บาท ซื้อไข่ 1 ใบยังไม่ได้เลย” คือ คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี และเรื่องการปรับค่าจ้างที่เสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ถูกถอนออกไป และนายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบวนใหม่

20 ธันวาคม 2566 คณะกรรมการไตรภาคีพิจารณา เรื่อง การปรับค่าจ้างได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง และปลัดกระทรวงแรงงานก็มีการแถลงอีกครั้งว่า “ว่าคณะกรรมการพิจารณาการปรับค่าจ้างมีมติเอกฉันท์ ยืนยันตามมติเดิมที่พิจารณาไปแล้ว ไม่ทบทวนตัวเลขใหม่” 

สิ่งที่ต้องตั้งคำถามและตั้งข้อสังเกตต่อนายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล คือ

1.ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีในการพิจารณาการปรับค่าจ้าง สิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแถลงต่อสาธารณะ ตัวแทนรัฐบาลในไตรภาคีจึงไม่ได้นำไปเสนอต่อที่ประชุม ซึ่งมีข้อมูลงานวิจัยและสภาพความเป็นจริงทางสังคมมากมาย

2.หากผู้แทนฝ่ายรัฐบาลนำสิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานแถลง ซึ่งเชื่อว่าตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง หากเป็นตัวแทนของคนงานที่แท้จริง และมีจิตสำนึกทางชนชั้นก็จะเห็นด้วยกับผู้แทนรัฐบาลแม้ว่าฝ่ายนายจ้างจะไม่เห็นด้วย เมื่อลงคะแนน 2 เสียง ต่อ 1 เสียง ก็ย่อมชนะอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่ทำ ไม่สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือไม่

3.หรือการหาเสียงของพรรคแกนนำรัฐบาลก่อนหน้านั้นเป็นเพียงนโยบายเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงหรือไม่ พอได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่พยายามที่จะสร้างความเป็นจริงให้เกิดขึ้นแต่กลับใช้กลไกในการสร้างเหตุผล หาความชอบธรรมในการไม่ทำตามนโยบาย

4.หากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจที่จะทำตามนโยบายและสิ่งที่แถลงไว้จริง อาจมีความเป็นไปได้ว่ามีการทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมือง (ดิสเครดิต) ของพรรคร่วมรัฐบาล

5.การสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้ทบทวนไม่มีผลในทางปฏิบัติ ผู้แทนฝ่ายรัฐในไตรภาคีไม่สนองนโยบาย ทั้งที่เป็นประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

6.ขอตั้งข้อสังเกตต่อฝ่ายลูกจ้างว่า ได้ยืนหยัดในจุดยืนเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานที่แท้จริงหรือไม่

ทั้งนี้สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งเป็นองค์กรของคนงานที่มีองค์กรสมาชิกทั้งแรงงานภาคเอกชน แรงงานนอกระบบ ลูกจ้างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และแรงงานข้ามชาติ จึงขอเรียกร้องไปถึงนายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล หากมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาของผู้ใช้แรงงานดังที่ได้ประกาศต่อสาธารณะขอให้ท่านมีความจริงจัง จริงใจในคำประกาศนั้น เพราะการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกับความเป็นจริงตามสภาพความเป็นอยู่

และการดำรงชีพของประชาชนก็จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่ง สสรท. และ สรส. ขอยึดมั่น
ในข้อเสนอที่ปรากฏในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566