โรงแรมโซนเอเชียร้อนแรง! รับอานิสงส์ตลาดท่องเที่ยวบูม! คาดสิ้นปีเห็นยอดซื้อขายทะลุ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์

  • “เจแอลแอล” เผยข้อมูลการลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิก
  • 3 ไตรมาสแรกปีนี้ มีมูลค่ารวม 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • คาดทั้งปีทะลุ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • อานิสงส์การท่องเที่ยวภูมิภาคนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

นายไมค์ แบทเชเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เจแอลแอล  เปิดเผยว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก แต่โรงแรมในเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นธุรกิจที่เสนอผลตอบแทนการลงทุนที่น่าดึงดูดใจ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่องใน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากพันธบัตรปรับตัวลดลง

 “บริษัทที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุนภายในประเทศ มีความต้องการสูงในการลงทุนซื้อโรงแรม ซึ่งเชื่อว่าปี 2562 นี้จะเป็น 1 ใน 3 ปี ที่การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าสูงสุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  โดยที่ผ่านมามีเพียงปี 2558 และ 2560 เท่านั้น ที่การลงทุนซื้อขายมีมูลค่ารวมเกิน 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” 

ไมค์ แบทเชเลอร์

 ทั้งนี้การที่มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) ขยับขึ้นไปถึง 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้วโดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการซื้อขายโรงแรมขึ้นอย่างคึกคัก จากอานิสงค์ของการเป็นเจ้าภาพการจัดงานรักบี้เวิร์ลคัพ 2019 และการเตรียมเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2020 ที่โตเกียว โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมในญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะขยับขึ้นไปเป็น 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้

 สำหรับการลงทุนซื้อขายโรงแรมโดยรวมสำหรับเอเชียแปซิฟิกยังคงมีแนวโน้มที่ดี ตลาดใหญ่เช่นจีนมีแนวโน้มที่จะมีนักลงทุนหันมาสนใจซื้อโรงแรมมากขึ้น เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์หลักประเภทอื่น ได้แก่ อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า มีความต้องการเช่าพื้นที่ชะลอตัวลง ในขณะที่ภาคธุรกิจโรงแรมยังคงมีผลประกอบการในระดับคงที่

ทั้งนี้แม้นักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับการลงทุนซื้อโรงแรมในประเทศของตน โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน แต่พบว่ามีนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากที่หลังไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้ เพื่อแสวงหาโอกาสจากการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและผลตอบแทนการลงทุนสูง อาทิเช่น เกาหลีใต้ พบว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพุงสูงขึ้นในปีนี้โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนซื้อโรงแรมได้มากขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนประเภทสถาบันจำนวนมากขึ้นที่เตรียมขายสินทรัพย์ออกมาหลังครบระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการถือครอง

 นายนิฮาท เออร์แคน กรรมการผู้จัดการฝ่ายตัวแทนขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า หากนับย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 ลงไป นักลงทุนที่ซื้อโรงแรมในเกาหลีใต้ ล้วนเป็นนักลงทุนภายในประเทศ แต่ปัจจุบัน ราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้น เป็นการซื้อโดยต่างชาติ และมีแนวโน้มว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้อีกตลาดหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติมีบทบาทสูง ได้แก่ มัลดิฟส์ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังนี้ มีต่างชาติเข้าซื้อโรงแรมรวมมูลค่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้

 “การที่ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง ทำให้มีแนวโน้มว่า ธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นตลาดการลงทุนดาวเด่น เชื่อว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปถึงปี 2563”