โควิด-19พ่นพิษWTOคาดการค้าโลกปี63ลบหนัก13-32%

  • แต่ยันฟื้นตัวได้แน่ในปี64ที่21-24%
  • แนะนานาประเทศร่วมมือกันกู้วิกฤติเศรษฐกิจ
  • พาณิชย์จี้ผู้ประกอบการปรับตัวรับความท้าทาย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ได้จัดทำรายงานการศึกษาการค้าโลกหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งคาดว่า ปริมาณการค้าโลก ในปี 63 จะลดลงจากปี 62 และจะกลับมาฟื้นตัวในปี 64 โดยได้ตั้งสมมติฐาน 2 กรณีคือ ปริมาณการค้าจะติดลบ 13% และจะฟื้นตัว 21% และกรณีที่ 2 ปริมาณการค้าจะติดลบมากถึง 32% และจะกลับมาฟื้นตัว 24%

สำหรับปัจจัยที่มีผลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คือ ความรวดเร็วในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และนโยบายหรือมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้ นอกจากนี้ หากทุกประเทศร่วมมือกัน จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าการที่แต่ละประเทศดำเนินมาตรการเอง อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวอาจยังไม่แน่นอน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความตึงเครียดของตลาดสินเชื่อที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการให้บริการการเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น

นอกจากนี้ ดับบลิวทีโอยังวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจต่างๆ โดยภาคอุตสาหกรรม พบว่า มาตรการปิดเมือง (ล็อคดาน์) ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ส่งผลให้มีการปิดโรงงานชั่วคราว ทำให้ห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่การผลิตซับซ้อน อย่าง อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ สำหรับภาคการค้าบริการ ส่งผลให้การใช้บริการคมนาคมขนส่ง ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและบริการต่างๆ ลดลง หรือต้องปิดตัวในบางธุรกิจ เนื่องจากประเทศต่างๆ มีมาตรการจำกัดการขนส่งและการเดินทางเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส แต่ยังมีสาขาบริการที่ได้ประโยชน์ เช่น การให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากสามารถใช้บริการในที่พักอาศัยได้ และมีพฤติกรรมการใช้มากขึ้น

“ผู้ประกอบการควรใช้ช่วงเวลานี้ เตรียมความพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังภายหลังวิกฤต โดยต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ประเมินความเสี่ยงและทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ ขณะเดียวกัน ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาพันธมิตรตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อเพิ่มแนวร่วมในการแก้ไขปัญหา รวมถึงคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อพฤติกรรมของตลาดและผู้บริโภคในอนาคต เช่น ความปลอดภัย สุขภาพอนามัย และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น”