โควิดรอบ 3 ฉุดจีดีพีไทยปีนี้โตได้แค่ 1.6%

  • ม.หอการค้าไทยชี้เงินหายจากระบบแสนล้าน/เดือน
  • ถ้าคุมระบาดได้ใน 2-3 เดือนเงินหาย 2-3 แสนล้าน
  • แนะรัฐอัดฉีดเงิน 2-3 แสนล้านบาทดันจีดีพีโต 2.8%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ที่มีต่อศรษฐกิจไทยว่า  ศูนย์ประเมินว่า โควิด-19 ระบาดรอบ 3 ในขณะนี้ ทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หายไปวันละ 3,338 ล้านบาท หรือเดือนละ 100,140 ล้านบาท โดยพื้นที่สีแดง 18 จังหวัด หายไปวันละ 2,815 ล้านบาท หรือเดือนละ 84,436 ล้านบาท และพื้นที่สีส้ม 59 จังหวัด  หายไปวันละ 523 ล้านบาท หรือเดือนละ 15,704 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังทำให้ความต้องการใช้แรงงานลดลงเดือนละ 148,933 คน โดยในพื้นที่สีแดงลดลงมากสุดถึง 122,360 คน และสีส้ม ลดลง 26,57 คน  

“มูลค่าจีดีพีที่หายไปทุกๆ 100,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีไทยย่อลง 0.6% ดังนั้น การระบาดรอบ 3 ที่เงินหายไปเดือนละ 100,140 ล้านบาท จีดีพีจะลดลงเดือนละ 0.62% แต่ถ้ารัฐบาลควบคุมการระบาดได้ภายใน 2 เดือน จีดีพีไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 1.6% จากเดิมคาดโต 2.8% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.65% จากเดิมคาด 1.63% แต่ถ้าคุมได้ใน 3 เดือน จีดีพีจะเหลือโต 1% และอัตราการว่างงานจะเพิ่มเป็น 1.68% จึงมีความเป็นไปได้ต่ำที่จีดีพีปีนี้จะโตได้ 4% ตามเป้าหมายใหม่ของกระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ หากรัฐบาลต้องการทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวที่ 2.8% ตามเป้าหมายเดิม จะต้องอีดฉีดเงินเข้าสู่ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มอีก 200,000 ล้านบาท เพื่อให้จีดีพีโตได้เพิ่มขึ้นอีก 1.2% มาอยู่ที่ 2.8% โดยศูนย์มีข้อเสนอแนะให้ทำโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โดยอีดฉัดเงินเพิ่มอีก 57,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีเงินหมุนเวียน 114,000 ล้านบาท, เพิ่มมูลค่าส่งออกให้ได้เดือนละ 300 ล้านเหรียญฯ หรือจะมีเงินเพิ่มขึ้นอีก 73,900 ล้านบาท, กระตุ้นบริโภคในประเทศ เช่น เพิ่มลดหย่อนภาษีในช้อปช่วยชาติ เป็น 100,000 บาทจากเดิม 30,000 บาท ซึ่งจะมีเงินเข้าสู่ระบบอีก 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ จะมีเงินเข้าระบบอีก 2,000 ล้านบาท รวมประมาณ 200,000 ล้านบาท”

นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ ยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ เพราะยังมองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวในกรอบ 2.5-3% หรือมีค่ากลางที่ 2.8% เพราะรัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีก 200,000-300,000 ล้านบาท เท่ากับเม็ดเงินที่จะหายไปจากระบบเศรษฐกิจหากรัฐบาลคุมโควิด-19 ได้ภายใน 2-3 เดือน ประกอบกับ รัฐยังมีเงินเหลืออีก 240,000 ล้านบาท จากพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก โดยรัฐมีแผนจะใช้เงินดังกล่าวกับโครงการต่างๆ เช่น เราชนะ, คนละครึ่งเฟส 3 เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ศูนย์มีข้อเสนอแนะให้รัฐควบคุมการระบาดให้ได้, เร่งกระบวนการผลิตและกระจายการฉีดวัคซีน, นำเข้าวัคซีนทางเลือกอื่นๆ และเปิดโอกาสให้เอกชนนำเข้าได้ด้วย, เร่งฉีดให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จะทำแซนด์บอกซ์ท่องเที่ยว หรือเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่วัคซีนครบ 2 โดสแล้วเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว, เร่งเจรจาและลงนามกับประเทศต่างๆ ในการทำทราเวล บับเบิล, ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ที่ไม่เกิน 31 บาท/เหรียญฯเพื่อสนับสนุนการส่งออก ที่จะเป็นพระเอกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้