“แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” มองตลาดอสังหาฯปีหนูทองยังซบมีอาการทรงตัว หนุนแอลทีวีเป็นสิ่งที่ดี แต่อาจใช้ไม่ถูกเวลา

  • ชี้ตลาดคอนโดฯยังเหนื่อยต่อ คาด 2-3 ปี ซัพพลายจะถูกดูดซับไป
  • ไม่หวั่นลุยต่อตลาดแนวราบเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ
  • เน้นทำเลกรุงเทพฯปริมณฑล อัดงบหาทำเลเด็ด 7,000 ล้านบาท

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 น่าจะเติบโตทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า แน่นอนตลาดโดยรวมก็คงไม่คึกคักเหมือนเช่นในอนาคต ที่กระทบหนักจะเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม ที่มีหลายทำเลที่ยังเหลือยูนิตรอขายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโซนแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งก็คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีก 2-3 ปี ซัพพลายในตลาดถึงจะถูกดูดซับไปในตลาด 

นพร สุนทรจิตต์เจริญ

ทั้งนี้ของแผนลงทุนของบริษัทปีนี้ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 28,440 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ โดยในปีนี้บริษัทจะไม่มีการพัฒนาคอนโดมิเนียม จะเน้นลุยตลาดบ้านแนวราบเป็นหลัก เพราะยังมีโอกาสที่จะสร้างยอดขายได้ เนื่องด้วยเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้ออยู่จริง แต่รูปแบบการพัฒนาคงจะแตกต่างไปจากเดิมที่เน้นเป็นโครงการใหญ่ๆ สร้างง่ายขายเร็ว แต่ตอนนี้ผู้ประกอบการต้องมาดูเรื่องของงานดีไซน์ ควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อโอกาสทางการแข่งขันในตลาด

  สำหรับเป้ายอดขายปี 2563 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 28,000 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,000 ล้านบาท

ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 7,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีกจำนวน 4,000 ล้านบาท โดยในส่วนของงบซื้อที่ดินจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขายอพาร์ทเม้นท์ที่สหรัฐฯที่บริษัทไปลงทุนไว้จำนวน 1 อาคาร จากจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ 4 อาคาร มูลค่าลงทุน 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท

“สำหรับมาตรการกำหนดอัตราสินเชื่อต่อมูลค่าที่อยู่อาศัย หรือแอลทีวี ก็มีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีมาตรการนี้ออกมา ถือเป็นการสร้างนิสัยที่ดีในการออมเงิน แต่ก็มองว่ามาตรการที่ออกมาอาจออกมาไม่ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้น อยากให้มองสภาพตลาดโดยรวมว่า ณ เวลานั้นเป็นเช่นไร ควรใช้มาตรการแล้วหรือไม่” นายนพร กล่าว