- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญหน้าจันทร์ทมิฬ ดิ่งแรงแซงหน้าหุ้นเอเชีย
- นักลงทุนวิตกสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกดิ่ง-ไวรัสโควิด-19 ทุบเศรษฐกิจราบคาบ
- เฟดประกาศอัดฉีดเงินเข้าระบบเรียกความเชื่อมั่น แต่ตลาดไม่ตอบสนอง
เมื่อเวลาประมาณ 21.50 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหว อยู่ที่ 23,823.47 จุด ลดลง 204131 จุดหรือ 7.53% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 7,995.29 จุด ดิ่งลง 580.33 จุด หรือ -6.77% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวอยู่ที่ 2,774.15 จุด ติดลบ 198.22 จุด หรือ 6.60%
หลังจากที่ตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรป ดิ่งลงรุนแรง เปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์ตลาดหุ้นสหรัฐจะทรุดอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยเป็นการลดลงจนฟลอร์ ของหุ้นทั้ง 3 ตลาด ท่ามกลางปัจจัยลบจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน และการแพร่ระบาดที่กระจายตัวเพิ่มขึ้นของไวรัสโควิด-19
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงใกล้หลุดระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันนี้ หลังจากจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงปรับลดการผลิตน้ำมันในการประชุมที่กรุงเวียนนาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียเปิดฉากทำสงครามราคาน้ำมัน ด้วยการประกาศลดราคาขายน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP)
โดยข่าวที่ออกมาว่า ซาอุดีอาระเบียวางแผนปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันกว่า 10 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย. และการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 จะกระทบต่อความต้องการน้ำมันอย่างรุแรง ทำให้ราคาน้ำมัมีโอกาสต่ำว่านี้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่ทพลังงานร่วงลงอย่างรุนแรง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทรุดตัวแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมันและตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นการลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยรวมถึงถือเงินสดมากขึ้นของนักลงทุน
ทั้งนี้ เพื่อหยุดยั้งความตื่นตระหนกดังกล่าว ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ได้เปิดเผยว่า เฟดจะเพิ่มการอัดฉีดเงินกู้ระยะสั้นให้แก่ธนาคารต่างๆ เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาด โดยจะเพิ่มวงเงินจากระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์จนถึงวันพฤหัสบดี และจะเพิ่มวงเงินการซื้อคืนพันธบัตรอายุ 2 สัปดาห์จาก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์
โดยเฟดแถลงว่า การดำเนินการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าธนาคารต่างๆจะมีทุนสำรองอย่างเพียงพอ และเพื่อลดความเสี่ยงที่แรงกดดันในตลาดเงินจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของเฟด แต่ดูเหมือนการดำเนินการดังกล่าวจะไม่เป็นผล