เปิดโพล ส.อ.ท. ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน

  • ตรึงราคาค่า เอฟที  ไปจนถึงเดือนธ.ค.นี้ 
  • ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 – 6 เดือน 
  • เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ -ประชาชน 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจส.อ.ท.โพล ประจำเดือนต.ค. ในหัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” โดยพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม ในระดับปานกลางถึงมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ดังนั้นจึงเสนอขอให้รัฐบาลช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้าอัติโนมัต (เอฟที) ไปจนถึงเดือนธ.ค.นี้ และควรมี การปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงานเป็นการ ชั่วคราว 3 – 6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้ง ดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ทจำนวน 150 คน ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มี ดังนี้ 1.      ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับใดบ้างโดยพบว่ามีผลกระทบปากลาง   49.3%กระทมาก  กระทบน้อยมาก 12.7%

2. ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันซึ่งพบว่าเป็นเพราะ นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก)                   76.7% การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้เกิ ดความต้องการบริโภคด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น  68.7% ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า                         53.3% และ ความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาว โดยเฉพาะ  ในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก

3. ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจของผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ อันดับที่ 1 : ต้นทุนด้านพลังงาน เพิ่มขึ้น10 – 20%   คิดเป็น  46.0% ต้นทุนด้านพลังงาน เพิ่มขึ้น 10%  คิดเป็น   24.0%  ต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้น 30 – 50%  คิดเป็น   20%อันดับที่ 4 : ต้นทุนด้านพลังงาน เพิ่มขึ้นมากกว่า 50%  คิดเป็น 10.0%

4.  แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด ปรากฏว่า มีผลให้ ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น   88%ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งปรับตัวสูงขึ้น     84% เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน   34% เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน     25.3% 

5. รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร พบว่า ต้องการให้มีการ ตรึงราคาค่าไฟฟ้าอัติโนมัติ  (เอฟที) ไปจนถึงเดือนธ.ค.นี้ 66% ต้องการให้มีการปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 – 6 เดือน  เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ คิดเป็น 56.7% ต้องการให้มีการจัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุน เพื่อชดเชย ให้กับผู้ประกอบการ  และตรึงราคาพลังงานทุกประเภท   54% ต้องการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)   53.3%

6. ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไรผลสำรวจพบว่า ต้องการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล   74%ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้  72%เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ,ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า 64.0%ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า  44.0%

7.ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร ผลสำรวจพบว่า ต้องมีการ นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้  77.3% เพื่อลดและประหยัดพลังงาน,ต้องการให้มีการ นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิต  เพื่อลดต้นทุน  73.3% , ต้องมีการสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง   71.3%และต้องมีการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงาน  อย่างประหยัด   59.3%