เชื้อฝีดาษวานรถูกจัดเป็นเชื้อในกลุ่มความเสี่ยงระดับ 3 (BSL 3)

  • การตรวจวิเคราะห์จึงต้องทำในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย
  • ฝีดาษวานรมี 2 สายพันธุ์ คือ “แอฟริกากลาง -แอฟริกาตะวันตก1
  • ผู้ป่วยรายแรกของไทยเป็นสายพันธุ์ย่อย A.2

นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เชื้อฝีดาษวานรถูกจัดเป็นเชื้อในกลุ่มความเสี่ยงระดับ 3 (BSL 3) การตรวจวิเคราะห์จึงต้องทำในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในประกาศให้ดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 ที่เสริมสมรรถนะได้ แต่การเพาะเลี้ยงเชื้อและศึกษาวิจัยยังต้องดำเนินในระดับ 3 เท่านั้น ส่วนแนวทางการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกาและองค์การอนามัยโลกว่าเก็บตัวอย่างจากจุดใดถึงจะมีเชื้อมากที่สุด

ทั้งนี้จึงขอให้เก็บตัวอย่างจากหลายตำแหน่ง เช่น บริเวณตุ่มหนอง ใช้เข็มปราศจากเชื้อแล้วเก็บตัวอย่างจากแผลผิวหนังส่วนบน หากแผลตกสะเก็ดแล้ว ใช้หลอดปราศจากเชื้อเก็บตัวอย่าง หรือเก็บตัวอย่างจากจมูกเหมือนโควิด หรือเจาะเลือดตรวจด้วยก็ได้ ซึ่งไม่ว่าจะเก็บตัวอย่างแบบใดก็พร้อมตรวจทั้งหมด โดยขอให้เก็บตัวอย่างในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะเก็บได้ 7 วัน แต่ถ้าต้องการเก็บนานเป็นเดือนต้องเก็บในอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียสขึ้นไป ผู้เก็บตัวอย่างต้องสวมชุดป้องกัน PPE แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องความดันลบ เนื่องจากเชื้อไม่ได้ติดง่ายเหมือนโควิด ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 15 แห่ง สามารถตรวจฝีดาษวานรได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และรายงานผลกลับไปยังผู้ส่งตรวจและกองระบาดวิทยาได้ภายใน 24 ชั่วโมง

นพ.บัลลังก์กล่าวอีกว่า สายพันธุ์ของเชื้อฝีดาษวานรมี 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์แอฟริกากลาง อัตราการเสียชีวิตสูงกว่า สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก 10 เท่า แต่การระบาดรอบนี้แทบทั้งหมดเป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย B.1 ซึ่งข้อมูลใน GISAID เป็น B.1 มากกว่า 80-90% ซึ่งผู้ป่วยรายที่ 2 ของประเทศไทยเป็นสายพันธุ์นี้ ส่วนสายพันธุ์ย่อย A.2 พบน้อยมากมีไม่ถึง 40 ตัวอย่าง จาก 700-800 ตัวอย่างใน GISAID หรือไม่ถึง 10% ซึ่งผู้ป่วยรายแรกของไทยเป็นสายพันธุ์ย่อย A.2