เจ้าสัว “ธนินท์” หนุนรัฐบาลทำ “ดิจิทัล วอลเล็ต”

เจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์” ชี้นโยบายเงินดิจิทัล ไม่ใช่ช่วยคนจน แต่กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต้องกลัววินัยการเงิน

  • ชี้ไม่ใช่แจกเงินคนจนแต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ลั่นไม่ต้องกลัววินัยการเงินเหตุไทยมีวินัยดีอยู่แล้ว
  • แนะดึงคนเก่งมาอยู่ไทยชี้ไม่ใช่แย่งงานคนไทยแต่ได้จ้างงาน

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในโอกาสครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทย ในระหว่างงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เมื่อวันที่ 18 พ.ย.66 ว่า สินค้าเกษตร ถ้าต่อยอด เพิ่มมูลค่าได้ 2-3 เท่า รายได้คนไทยจะสูงขึ้น เงินเข้าประเทศมากขึ้น สินค้าเกษตร ถือเป็นน้ำมันบนดิน ไม่มีวันหมด เพราะเก็บเกี่ยวแล้วก็ปลูกใหม่ได้ ไม่เหมือนน้ำมันใต้ดินที่มีวันหมด แต่อยากให้ช่วยกัน ไม่ใช่ว่า ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ก็จำกัดราคาสินค้าเกษตร ราคาที่สูงขึ้นต้องไปดูสาเหตุเพราะอะไร ราคาที่แพงขึ้นเป็นแค่ชั่วคราว ถ้าจำกัดราคาแบบนี้ เกษตรกรยากจนตลอด

วันนี้คนจนของเราส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร เกิดหนี้นอกระบบ ถึงเวลาที่ทุกพรรคการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ ต้องมองประโยชน์ของประเทศเป็นหลักก่อน แล้วค่อยพูดถึงตัวเอง บริษัทมาทีหลัง ถ้าประเทศไม่มีกำลังซื้อ นักธุรกิจจะขายสินค้าให้ใคร นายกฯเศรษฐา (เศรษฐา ทวีสิน) กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้เงินดิจิทัล พวกเราต้องช่วยกันพูด ว่า ไม่ได้ช่วยคนยากจน แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ วินัยการเงินเรายังไม่เสีย และชื่อเสียงทางการเงินของไทยอยู่ในระดับท็อปของโลก พอเรากระตุ้นแล้วต้องมีแผนต่อไป เชื่อมั่นว่า ถ้าเราสามัคคีกัน ภายใต้การนำรัฐบาลชุดนี้ เจริญรุ่งเรืองแน่ เพราะเวลานี้ใครๆ ก็อยากมาไทย แม้มีเงินเฟ้อบ้าง ก็อย่าไปกลัว ผมกลัวเงินฝืดมากกว่า เพราะเงินฝืด เศรษฐกิจล้มละลาย ประเทศล้ม”

นายธนินท์ กล่าวอีกว่า วันนี้ อาเซียนและไทย ไม่เหมือนยุคต้มยำกุ้ง โลกมีวิกฤติ แต่อาเซียนและไทย เป็นสถานที่น่าลงทุนที่สุด กำลังเติบโต ไม่ได้สู้รบกับใคร แต่ไทยเข้าสู่ความแก่เร็วเกินไป แต่ไม่เป็นไร ไทยเนื้อหอม ถ้าดึงคนเก่งๆ ของโลกนี้เข้ามาทำงาน มาอยู่ในไทย แค่เพียง 5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 70 ล้านคน จะช่วยสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ ไม่ได้เข้ามาแย่งงานคนไทย เพราะดึงแต่คนที่ทำอาชีพที่คนไทยทำไม่ได้ เช่น กลุ่มอาชีพไฮเทค และถ้าคนเหล่านี้ ทุกคนจ้างเลขา 1 คน ก็จะได้การจ้างงาน 5 ล้านคนแล้ว นอกจากนี้ บริษัทท็อปๆ ของโลกด้านไฮเทคก็จะลงทุนในไทยตามมา แต่รัฐบาลต้องอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ด้วย

“เชื่อมั่นว่า วิกฤติของโลกเป็นโอกาสของไทย ไทยปลอดภัยที่สุด ไม่รบกับใคร อาเซียนอุดมสมบูรณ์ กำลังเติบโต แต่นักธุรกิจต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ทันสมัย ผลิตได้ครั้งละมากๆ ในเวลาสั้นลง ใช้เครื่องจักรมากขึ้น และหมดยุคค่าแรงถูก ต้องใช้ไฮเทคเพิ่มประสิทธิภาพทำงาน เพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน ส่วนเมื่อใช้เครื่องจักรแล้ว คนจะหายไปไหน จะเข้าสู่ธุรกิจบริการกันมากขึ้น หรือจะกลายเป็นเหมือนยุคเมื่อ 60-70 ปีก่อนที่บริษัทใหญ่ไม่จ้างคน แล้วคนจะกลายเป็นเถ้าแก่กันมากขึ้น เป็นสตาร์ตอัพมากขึ้น จะเห็นสตาร์ตอัพเต็มบ้านเต็ทเมือง ต่อไปอาจทำงานแค่ 3 วัน อีก 4 ท่องเที่ยวแต่ก็ทำงานได้ และเชื่อว่า จะเกิดธุรกิจใหม่ๆ อีกมากมาย ไม่ต้องห่วง ยิ่งขายออนไลน์กันได้มากๆ เราก็ยังผลิตสินค้าได้ แต่อยากฝากรัฐบาล อยากให้กองทุนสนับสนุนเอกเชน หาผู้เชี่ยวชาญแนะนำ เอาของดีในโลกที่ทำสำเร็จแล้วมาแนะนำนักธุรกิจไทย”